โลกดนตรีกับทฤษฎีวิเคราะห์ เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร

Spread the loveมองโด…
1 Min Read 0 148
Spread the love

มองโดยผิวเผิน เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร เป็นชายผิวขาวร่างสัดทัดสวมแว่นตาไว้หนวดเครา ลักษณะเหมือนผู้ฝึกสอนกีฬา แต่เมื่อได้พูดคุย ถอดความคิด คุณจะพบว่า เขาคือผลผลิตทางการศึกษาด้านดนตรีแจ๊สในสถาบันการศึกษาของประเทศไทย ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.เจตนิพิฐ สังข์วิจิตร คือนักวิจัย นักทฤษฎีดนตรีวิเคราะห์ นักประพันธ์เพลง ลุ่มลึกในมุมมองด้านการวิเคราะห์ผลงานเพลง ด้วยทฤษฎีและหลักการทางดนตรีที่แม่นยำ ทำให้เขาเป็นนักทฤษฎีดนตรีวิเคราะห์คนสำคัญของประเทศ นอกจากนั้น เขายังเป็นมือกีตาร์แจ๊สฝีมือดีและมีตำแหน่งเป็นบรรณาธิการวารสารดนตรีรังสิต

ดนตรีร็อกและแจ๊ส คือ วัฒนธรรมตะวันตก

ตามมุมมองของผม เมื่อเอ่ยถึงประวัติศาสตร์ดนตรีสากลโดยเฉพาะดนตรีร็อก เราจะนึกถึงยุคสงครามเวียดนาม ค่าย GI และการเล่นดนตรีสไตล์ตะวันตกที่เล่นโดยศิลปินไทยระดับตำนาน เช่น กีตาร์คิง แหลม มอริสัน , กีตาร์ปืน กิตติ กาญจนสถิตย์ พวกเขาเป็นนักดนตรียุคบุกเบิก เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นหลัง ดนตรีเป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อถึงกัน เช่นเดียวกับนักดนตรีต่างประเทศ ถ้าไม่มี จิมมี่ เฮนดริกซ์ (Jimi Hendrix) ก็อาจไม่มีริตชี แบล็กมอร์ (Ritchie Blackmore) และส่งต่อแรงบันดาลใจไปยังอิงเว มาล์มสทีน (Yngwie Malmsteen) ศิลปินคือแรงบันดาลใจส่งต่อให้แก่กัน

ดนตรีที่เราเล่นเป็นดนตรีฝั่งอเมริกัน ในยุคฮิปปี้สไตล์การเล่นดนตรีค่อนข้างดิบ นักดนตรีไทยเล่นดนตรีในค่าย GI พวกเขาไม่ธรรมดา ยุคสมัยก่อนนักดนตรีเล่นดนตรีจากการฟัง ต้องแกะเพลงจากตู้เพลงหรือแผ่นเสียง นักดนตรียุคสมัยนั้นมีความจำและโสตทักษะที่ดีมาก เขาใช้ประสบการณ์จากการฟังสะท้อนออกมาผ่านเสียงดนตรี ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมประสบการณ์อย่างโชกโชน ต้องให้เครดิตนักดนตรีเหล่านี้ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจมาสู่รุ่นพวกเรา

สำหรับพัฒนาการของดนตรีแจ๊สในประเทศไทย ต้องให้เครดิตกับสถาบันการศึกษาที่เห็นคุณค่าของดนตรีแจ๊ส เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยรังสิต และอีกหลายแห่งได้สอดแทรกดนตรีแจ๊สเข้าไปในการเรียนการสอน ร่วมกันเป็นแม่พิมพ์ผลิตบุคคลากรทางดนตรีแจ๊ส ถ้าย้อนกลับไปยุคก่อนที่ดนตรีแจ๊สเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษา การเรียนการสอนมักจะเป็นการศึกษานอกระบบ บุคคลกรสำคัญ เช่น อาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ,อาจารย์อานนท์ ศิริสมบัติวัฒนา ,อาจารย์สำราญ ทองตัน นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรของยามาฮ่าที่เกี่ยวกับ Harmony ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการศึกษาดนตรีแจ๊สในยุคนั้น

ดนตรีแจ๊สมีจุดเด่นคือ Improvisation เสมือนเป็นการเติมคำในช่องว่าง จำเป็นต้องมีข้อมูลมากพอถึงจะสามารถเติมคำในช่องว่างนี้ให้ได้ใจความ ดนตรีแจ๊สเป็นครูที่ดีในการเรียนรู้เรื่อง Harmony เมื่อศึกษาควบคู่กัน กระทั่งมีข้อมูลและประสบการณ์มากพอ การ Improvisation ก็ไม่ใช่ความลับของโลกใบนี้ ถ้าเราจับหลักได้ก็สามารถนำไปใช้กับดนตรีแบบอื่นได้  ผมต้องขอบคุณดนตรีแจ๊สถ้าไม่เช่นนั้น ผมคงเป็นมือกีตาร์ร็อกที่ใช้เทคนิคเล่นเร็วเพียงอย่างเดียว เทคนิคเป็นส่วนหนึ่งในการเล่นดนตรีต้องรู้จักใช้ รู้จักควบคุม อย่าให้เทคนิคควบคุมหรือกักขังเรา

สถาบันการศึกษาดนตรี เช่น มหวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยรังสิต ได้นำระบบการศึกษาดนตรีแจ๊สเข้ามา เมื่อการเรียนดนตรีแจ๊สอยู่ในระบบการศึกษา สิ่งแรกที่เห็นอย่างชัดเจนคือนักศึกษามีพัฒนาการขึ้นตามลำดับใช้ระยะเวลาในการพัฒนาน้อยลง คำแนะนำของอาจารย์ส่งผลเป็นอย่างมากต่อความเข้าใจ การฝึกซ้อม และความรักในดนตรีแจ๊ส ผมโชคดีเจอครูดีมาโดยตลอด สมัยผมเรียนกีตาร์แจ๊สกับอาจารย์แดน ฟิลลิปส์ นั่นเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ดนตรีแจ๊สที่เปิดโลกทัศน์มาก มีวิธีการฝึกซ้อมแบบนี้ด้วยเหรอ? หลังจากเรียนกีตาร์ชั่วโมงแรกจำได้ว่าเป็นการเล่นเพลง Blues ในลีลาแบบ Jazz กัน เมื่อเรียนเสร็จก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับกลุ่มเพื่อนๆ และได้ข้อสรุปว่ากีตาร์แจ๊สไม่นิยมการดันสาย (Bending) แต่นิยมการการสไลด์ (Slide) ซึ่งต้องหักห้ามใจพอสมควร เพราะเราเองก็มาจากพื้นเพความเป็นร็อกที่นิยมการดันสาย การศึกษากีตาร์แจ๊สตรงนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ได้เรียนรู้ แจ๊สเป็นครูที่ดีมาก

แสวงหาวิถีทางแห่งดนตรี

ผมเล่นกีตาร์สไตล์ร็อก ชอบกีตาร์ฮีโร่ ดนตรีร็อกหนักๆ กีตาร์เสียงแตก กลองสองกระเดื่อง เคยคิดทำวงดนตรีเพื่อออดิชันเล่นตามผับ ผมแกะเพลงไปเรื่อยๆ บางเวลาก็แกะเพลงแจ๊ส เราแกะเพลงได้แต่เล่นตามต้นฉบับไม่ได้ เกิดคำถามขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้น พยายามฝืนแต่ก็ยาก รู้สึกฝืนมาก เพิ่งเข้าใจหลังจากมีโอกาสเรียนดนตรีแจ๊สว่า เหตุผลที่เพราะมันเป็นเรื่องของภาษา แจ๊สคือดนตรีภาษาหนึ่ง เช่นเดียวกับดนตรีร็อกหรือบลูส์

นิตยสาร The Quiet Storm ผมติดตามอ่านหลายคอลัมน์ บอกกับตัวเองว่าจะต้องเรียน กระทั่งมีโอกาสเรียนกับอาจารย์กิตติ กีตาร์ปืน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะใช้ชื่อ “บ้านประชาชน” เรียนได้ไม่นานเพราะทุนทรัพย์ไม่อำนวย จากนั้นก็เริ่มเก็บเงินกระทั่งได้เรียนที่ “จนัธ’ 79” แต่ก็ติดปัญหาเดิมคือเรื่องทุนทรัพย์ อ่านคอลัมน์ใน The Quiet Storm รู้สึกว่าเขาสอนพวก Harmony ผมเก็บเงินอีกครั้งแล้วจึงมีโอกาสได้ไปเรียนกับอาจารย์แดง ผมสนใจอยากเรียนดนตรี แต่ยุคสมัยก่อนทางเลือกในการศึกษามีน้อยมาก ช่วงใกล้จบมัธยมต้นก็หาข้อมูล ถ้าจำไม่ผิดมีดุริยางค์ทหาร แต่สุดท้ายผมเลือกเรียนต่อสายวิชาชีพ ปวช.-ปวส. และเรียนต่อวิศวกรรมศาสตร์แต่ก็เรียนไม่จบ ผมตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นผมช่วยแม่ทำงาน ครอบครัวของเราทำธุรกิจร้านขายของชำ แม่ของผมต้องเดินทางไปซื้อสินค้าเพื่อนำมาขาย ผมทำหน้าที่ขับรถพาแม่ไปตลาด ขณะที่ผมรอแม่ซื้อสินค้าก็มักจะอ่านนิตยสารดนตรี The Quiet Storm เริ่มคิดว่าเราไม่น่าจะเอาใบปริญญามาให้แม่ได้แล้ว แต่ก็มีจุดเปลี่ยนจนได้

วันหนึ่งขณะผมเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า ผมเห็นโรงเรียนดนตรีของมหิดลมีเอกสารประชาสัมพันธ์เปิดรับสมัครเข้ามหาวิทยาลัยมหิดล ระดับปริญญาตรีดนตรีรุ่นแรก ผมตัดสินใจหยิบเอกสารนี้ติดมือกลับบ้านไปด้วย บอกกับครอบครัวว่าจะไปสมัครเรียนที่นี่ แต่ผมไม่ทราบเลยว่า การสอบเข้าวิชาดนตรีต้องเตรียมตัวกันอย่างไร มีเนื้อหาเกี่ยวกับภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ผลการสอบครั้งแรกเป็นไปตามคาดคือสอบไม่ผ่าน ผมกลับไปเตรียมตัวอีกครั้ง ซึ่งพอรู้แนวทางจากการสอบครั้งแรกมาแล้ว

ผมฝึกฝนเตรียมตัวทุกวันทำเป็นกิจวัตร จัดตารางซ้อมทุกอย่างที่ใช้สอบเพื่อรอเวลากลับไปสอบอีกครั้ง จำได้ว่าการสอบเข้าครั้งที่สอง อ.เด่น อยู่ประเสริฐ เป็นกรรมการสอบ ผมเตรียมเพลง Easy to Love แต่งโดย Cole Porter เป็นเพลง Standard Jazz เอามาทำเป็น Chord Melody โดยอาศัยแนวคิดจากคอลัมน์ของ อาจารย์แดง ที่เขียนไว้ในนิตยสาร The Quiet Storm มาเป็นแนวทาง พอถึงช่วง Improvisation มีแต่งทำนองไว้บ้างแต่เล่นจริงลืมทุกอย่าง ก็โชคดีที่สอบผ่านในครั้งนี้

ผมเรียนดนตรีที่มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นรุ่นแรก (เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมดนตรี) แต่ก็เกือบจะไม่ได้เข้าเรียนแม้ว่าจะสอบผ่าน ปัญหาเดิมคือเรื่องการเงิน โชคดีที่พี่สาวช่วยสนับสนุน ตอนเรียนมหิดลอาคารเรียนยังสร้างไม่เสร็จ ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม ลิฟท์ยังสร้างไม่เสร็จ ก็รวมเงินกันซื้อพัดลม บางคนหิ้วพัดลมไปเปิดในห้องเรียนด้วย จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเรียนปริญญาตรีทางดนตรีที่มหิดล ผมโชคดีมากเจอครูดี เพื่อนดี รุ่นพี่-รุ่นน้องดี สองปีแรกได้เรียนกีตาร์คลาสสิกกับ อ.สุวิช กลิ่นสมิทธิ์ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสเรียนกีตาร์คลาสสิกเลย ได้เรียนรู้เทคนิคมือ ผมมีโอกาสเรียนเพิ่มเติมกับ อ.ปราญ์ อรุณรังสี หลักสูตร 1 ปี มีโอกาสช่วยงาน อ.ปราชญ์ จัด Work Shop เล่นดนตรี หรือประกวดกีตาร์ด้วย  

กลุ่มเพื่อนมหิดลที่พักด้วยกันเรียนดนตรีแจ๊ส เราเห็นเขาฝึกซ้อมหรือเปิดเพลง เราก็ซึมซับเริ่มคุ้นเคยกับเสียงเครื่องเป่า ก่อนหน้านี้ฟังแต่ดนตรีร็อก เมื่อเรียนดนตรีกับ อาจารย์ปราชญ์ อรุณรังสี ก็เริ่มฟังดนตรีแจ๊สมากขึ้น ช่วงแรกฟังเพลง Standard Jazz แบบ Swing แต่ฟังได้ไม่นาน จึงหาฟัง Fusion Jazz ก่อน เช่น Yellowjackets, Spyro Gyra, T-Square, Casiopea แล้วค่อยเข้าใกล้ Standard Jazz มากขึ้น จนกระทั่งผมกับเพื่อนรวมกลุ่มเข้าพบ อาจารย์เด่น อยู่ประเสริฐ เพื่อขอให้เปิดวิชารวมวง Fusion Jazz ตอนนั้นวิชาที่เปิดสอนมีแต่รวมวงแจ๊ส หรือ คลาสสิก อาจารย์เด่น ให้โอกาส ผมจึงได้เล่นรวมวง Fusion Jazz พวกผมได้ โก้ เศกพล อุ่นสำราญ (Koh Mr.Saxman) มาดูแลวง ได้รับความรู้ ประสบการณ์มาก พี่โก้ชวนเราออกไปแจมกับนักดนตรีในวงของเขา ส่งประกวดวงดนตรีของเราจนได้รางวัล เป็นประสบการณ์และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในดนตรีแจ๊สของผม  สังคมนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลช่วงที่ผมเรียนเป็นสังคมที่ดีมาก มีสิ่งแวดล้อมดี  มีเพื่อนที่ดี ช่วงเวลาของการเรียนผ่านไปอย่างเร็ว เมื่อใกล้เรียนจบ ผมรู้สึกเคว้งคว้าง ตั้งคำถามกับตนเองว่า เรียนดนตรีจบแล้วจะทำงานอะไร? 

เติบโตเป็นอาจารย์สอนดนตรีของมหาวิทยาลัย

ผมทำงานเป็นอาจารย์วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต สอนนักศึกษาปริญญาตรี-โท มีโอกาสได้เล่นดนตรีกับ อ.เด่น อยู่ประเสริฐ บนเวทีทั้งระดับชาติและนานาชาติ จากที่เราเคยนั่งดูสมัยเรียนกระทั่งได้มีโอกาสเล่นร่วมกัน บางครั้งก็เล่นเพลงแต่งของผมด้วยเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก นอกจากนี้ยังได้ทำวงดนตรีและแต่งเพลงของตนเองด้วย ด้านการทำงานเชิงวิชาการดนตรี เริ่มชัดเจนจากช่วงการเรียนปริญญาโทเพราะก่อนหน้านั้นแทบจะไม่เคยทำงานวิชาการดนตรี สอนดนตรี เล่นดนตรี หรือแต่งเพลง เสียมากกว่า

ย้อนกลับไปช่วงปี 2552 ผมได้รับทุนศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านดนตรีแจ๊ส การเรียนระดับปริญญาโทแตกต่างจากปริญญาตรี มีการบ้านที่ต้องส่งเป็นเอกสารเชิงวิชาการ ต้องนำเสนอเชิงวิชาการ ต้องหาข้อมูลจากห้องสมุด รายวิชาที่ต้องส่งงานแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่จะยากตรงการทำวิทยานิพนธ์ ต้องอยู่กับคอมพิวเตอร์และหนังสือนานมาก รู้สึกอึดอัด ให้ผมซ้อมกีตาร์ทั้งวันทั้งคืนยังรู้สึกดีกว่า แต่ก็เป็นความโชคดี อ.วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น กลับจากเรียนเมืองนอก ท่านสอนการทำวิทยานิพนธ์ให้กับผม ได้ความรู้เยอะมาก วิทยานิพนธ์ตอนปริญญาโทผมทำเรื่องเกี่ยวกับวิเคราะห์เพลงของนักกีตาร์ 2 คน คือ แพท เมธินี (Pat Metheny) และไมค์ สเติร์น (Mike Stern) โดยนำแนวคิดมาวิเคราะห์เปรียบเทียบในเพลง Giant Steps ของ จอห์น โคลเทรน  (John Coltrane)

พ.ศ.2555 ผมมีโอกาสทำงานในกองบรรณาธิการวารสารดนตรีรังสิต ผมเรียนรู้งานวิชาการ กระทั่งได้รับโอกาสเป็นบรรณาธิการวารสารในปี 2559 ปัจจุบันวารสารอยู่ในกลุ่ม TCI กลุ่ม 1 นอกจากนี้ยังสอนวิชาดนตรีแจ๊สและการวิเคราะห์ในระดับปริญญาโท ก่อนจะเข้าสอนก็กังวลว่าเราจะสอนได้ไหม? จะทำเสียชื่อไหม? จะโดนลองของไหม? ช่วงเวลานี้ก็ได้เรียนรู้ งานวิชาการ การสอนกีตาร์ การวิเคราะห์ การเล่นดนตรี การแต่งเพลง เริ่มทำงานวิจัยเรื่อง ความทรงจำสำหรับวงดนตรีแจ๊สวงเล็ก (Memory for Small Jazz Ensemble)

หลังจบปริญญาเอกในปี 2563 ผมทำวิจัยสร้างสรรค์เพื่อระลึกถึงนักดนตรีแจ๊สคนสำคัญที่พัฒนาดนตรีแจ๊สไปตามยุคสมัย ไมล์ส เดวิส (Miles Davis) ชื่อเรื่องวิจัยคือ “บทประพันธ์เพลง เดวิสฟินอมินอน (Davis Phenomenon)” สนับสนุนทุนวิจัยโดยมหาวิทยาลัยรังสิต วิจัยสร้างสรรค์ชิ้นนี้นำเสนอด้วยมิติวงแจ๊สขนาดใหญ่หรือ Big Band เพลงประกอบด้วย 3 ท่อน แต่ละท่อนก็นำอิทธิพลทางดนตรีที่เชื่อมโยงกับ ไมล์ส เดวิส มาเป็นวัตถุดิบให้กับการแต่งเพลง ผมได้ประสบการณ์จากการแต่งเพลงให้กับ Big Band มากยิ่งขึ้น ได้เรียนรู้แตกต่างจากตอนทำวิทยานิพนธ์ของปริญญาเอก ซึ่งเป็นการแต่งเพลงสำหรับกลุ่มเครื่องจังหวะ (Rhythm Section) ผสมผสานกับไวโอลิน เชลโล แซ็กโซโฟน และคลาริเน็ต

ปี 2564 ได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เรื่อง “บทประพันธ์เพลง หัตถยุทธ ลีลา (Hattayut Leela)” เป็นการแต่งเพลงสำหรับวงแจ๊สขนาดใหญ่หรือ Big Band โดยได้รับแรงบันดาลใจจากภาพวาดของศิลปิน 4 คน คือ เอ็ดวาร์ด มูงค์ (Edvard Munch) ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) วาสซิลี คันดินสกี (Wassily Kandinsky) และแอนดี วอร์ฮอล (Andy Warhol) เป็นประสบการณ์ที่ดีด้านการทำงานวิจัยสร้างสรรค์ ช่วงที่เก็บข้อมูลภาพวาดของศิลปินทั้ง 4 คนนี้ ผมพบว่าได้จุดเชื่อมโยงทางแนวคิดหรือหลักการทางดนตรี สำหรับนำมาเป็นวัตถุดิบการประพันธ์ไปได้หลายประเด็นเลยครับ ดนตรีกับศิลปะมีหลายอย่างเชื่อมโยงกันจริงๆ ต่อมาผมทำวิจัย โดยได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เช่นกันเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับแต่งเพลงสำหรับกีตาร์ไฟฟ้าจำนวน 10 เพลง เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการศึกษาการเล่นกีตาร์ไฟฟ้า 5 สไตล์ และศึกษาเรื่องการ Improvisation

พัฒนาการสู่การเป็นนักวิชาการเชิงวิเคราะห์

หลังเรียนปริญญาเอก ผมมีโอกาสเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หรือกรรมการให้กับนักศึกษาปริญญาโท รวมถึงมีโอกาสพิจารณาผลงานทางวิชาการมากขึ้น เช่น บทความ หนังสือ ตำราเรียน งานวิจัยทางดนตรี หรือเป็นกองบรรณาธิการให้กับวารสารทางวิชาการ ก็ยิ่งเห็นมิติการทำงานเชิงวิชาการมากขึ้น ยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมงานวิชาการถึงสำคัญ ทำไมต้องระวังการใช้คำศัพท์เทคนิคทางดนตรี ถ้าจะใช้ต้องมีความเข้าใจและใช้ให้ถูกต้อง ในชั้นเรียนวิชาดนตรีแจ๊สและการวิเคราะห์ ผมมักถามนักศึกษาว่า คำศัพท์ที่นำมาใช้มีความหมายอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจความหมายหรือทำให้ประเด็นต่างๆ กำกวม ควรนำมาใช้หรือไม่ อย่างไร บางครั้งเป็นคำศัพท์ที่ได้จากการพูดต่อๆ กันมา ตรงนี้ยิ่งต้องระวัง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเราได้เรียนรู้มากขึ้น การใช้ศัพท์เทคนิคทางดนตรีจึงต้องระมัดระวัง

การทำงานวิชาการเชิงวิเคราะห์ ต้องมีความรู้เชิงทฤษฎี สิ่งสำคัญประเด็นที่วิเคราะห์ต้องชัดเจน ผมพบว่า การวิเคราะห์สามารถพิจารณาได้หลายมุมมอง ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสอดคล้องกับหลักการและเหตุผล นักทฤษฎีดนตรี 3 คน วิเคราะห์เพลงเดียวกันก็อาจวิเคราะห์ต่างกัน เราอาจเชื่อถือทั้ง 3 คน ผมมองว่าเป็นข้อดีที่ทำให้เห็นหลักการและเหตุผลหลากหลาย กรณีตัวอย่าง เช่น C Major Scale มีสมาชิกโน้ตทั้งหมดเหมือน A Minor Scale แต่อะไรที่เป็นปัจจัยชี้ให้เห็นว่าเป็น Scale เหล่านี้บ้าง ถ้าเรามีความรู้ทฤษฎีดนตรี แต่งเพลงได้ เล่นได้ วิเคราะห์ได้ และสามารถอธิบายเชิงวิชาการได้ จะมีส่วนช่วยสะสมประสบการณ์หลายมิติ สามารถตอบได้ว่า มีปัจจัยอะไรบ้าง

จากการสอนวิชาดนตรีแจ๊สและการวิเคราะห์ ทำให้ผมมีข้อมูลหลากหลาย กระทั่งนำองค์ความรู้เหล่านี้มาถ่ายทอดเป็น “หนังสือโมเดิร์นแจ๊ส (Modern Jazz)” เป็นการนำดนตรีแจ๊ส 6 ยุค มากล่าวถึงเชิงประวัติศาสตร์และนำเพลงในยุคเหล่านั้นมาวิเคราะห์ ผลพวงจากการทำงานเชิงวิเคราะห์ ผมนำเสนอองค์ความรู้ทางกีตาร์ไฟฟ้าด้วย “หนังสือแนวคิดพื้นฐานทางนิ้วระบบเคจด์ สำหรับกีตาร์ไฟฟ้า (Basic Concept The CAGED Fingering System for Electric Guitar)” เป็นการแสดงแนวคิดพื้นฐานทางนิ้วระบบ CAGED ทั้ง Scale, Arpeggio, Chord นำแนวคิดเหล่านี้มาสร้างเป็นแบบฝึกทักษะ

ทฤษฎีคือเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ดนตรี

ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยมหิดล ผมมีโอกาสเรียนกับอาจารย์ปราชญ์ อรุณรังสี เรียนทั้งวัน เรียนเรื่องทฤษฎี เรียนเรื่องการ Improvisation เรียนเอียเทรนนิ่ง (Ear Training) การเรียนโหมดเป็นเหมือนพื้นฐานว่าแนวคิดของโหมดนี้เป็นแบบใด ความจริงเรารู้เรื่องโหมด เช่น ซี เมเจอร์สเกล มีโหมดต่างๆ ซ่อนอยู่ 7 โหมด แต่มันก็จะถึงทางตัน แล้วทำอย่างไรต่อ เอาไปสร้างสรรค์อย่างไรได้อีก กระทั่งเราได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ ทั้งการวิเคราะห์ การแต่งเพลง การ Improvisation ผมเอา 3 เรื่องมาผสมผสานกัน ทำให้เห็นทิศทางของโหมดมากยิ่งขึ้น แล้วนำมาสังเคราะห์เป็นประเด็นต่างๆ เอามาใช้ในชั้นเรียน หรือสร้างงานของตนเอง

ผมฝึก Improvisation เรียนรู้เรื่องโหมด แจ๊สเป็นครูที่ดีทำให้ผมเห็นแนวคิดโหมด สามารถทดลองได้หลายอย่าง เช่น เราจะใช้โหมดให้สอดคล้องกับคอร์ดได้อย่างไรบ้าง เพราะคอร์ดเปลี่ยนไปตามวาระต่างๆ ทริคของโหมดมีอะไรบ้าง รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคอร์ดกับสเกล เมื่อเห็นคอร์ดหนึ่งคอร์ด เราสามารถใช้สเกลใดได้บ้าง คอร์ดสามารถใช้โหมด สเกล อะไรได้เยอะมาก แจ๊สสอนผมในเรื่องเหล่านี้ ย้อนกลับไปในวัยที่เรายังนั่งดู VDO สอนกีตาร์ของ Scott Henderson ไปหาซื่อที่ร้าน Rex แถวประตูน้ำ ตอนนั้นเกิดคำถามทำไมไอเดียเขาเยอะเหลือเกิน ต้องขอบคุณดนตรีแจ๊สครับทุกวันนี้ผมได้คำตอบจากประสบการณ์ของผมแล้ว เพลงที่บอกคีย์ตามหนังสือเพลง ผมจะไม่เชื่ออีกต่อไป หลายเพลงเปลี่ยนคีย์เป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะเพลงแจ๊ส คีย์ที่บอกเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เราต้องดูบริบทอื่นประกอบเช่น คอร์ด เพราะบางทีคีย์ในเพลงอาจมีการเปลี่ยน จุดนี้ทฤษฎีมีส่วนช่วย ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ คนที่เรียนแจ๊ส จะได้เรียนรู้เรื่องฮาโมนี่ หากทำไม่ได้ก็จะวิเคราะห์ดนตรีไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องฮาโมนี่ การ Improvisation ก็จะสนับสนุนกัน นั่นเป็นข้อดีของคนเรียนแจ๊ส

นักเขียน บรรณาธิการวารสารดนตรีรังสิต

ผลงานหนังสือ แนวคิดพื้นฐานทางนิ้วระบบเคจด์ สำหรับกีตาร์ไฟฟ้า : Basic Concept The Caged Fingering System for Electric Guitar อาจต้องเล่าย้อนกลับไปในยุคสมัยก่อน เด็กสมัยนี้หัดเล่นกีตาร์หาข้อมูลได้ง่ายมากทางอินเทอร์เน็ต ข้อมูลมีเยอะมาก แต่เป็นข้อมูลที่มีทั้งถูกและไม่ถูกต้อง นักศึกษาบางคนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาได้มาจากอินเทอร์เน็ตนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร บางคนอาจนำมาเป็นข้อมูลสำหรับการเตรียมสอบเข้าสถาบันทางดนตรี จดจำเพียงเพื่อใช้ในการสอบ สอบเสร็จก็ลืม ผมคิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรลืม ควรเอาไปต่อยอด เราในฐานะอาจารย์ควรมีสิ่งชี้นำทางให้กับเขา นั่นเป็นเหตุผลให้ผมทำหนังสือ

มีคนถามผมว่า ฝึกไล่สเกลแล้วเอาไปทำอะไรได้ ผมตอบคำถามพวกเขาโดยเปรียบเทียบกับการเล่นฟุตบอลในสนามแข่งขัน ทำไมต้องฝึกทักษะหลายอย่าง ทำอย่างไรให้ทีมชนะ? รอให้บอลมาถึงเท้าแล้วยิงให้เข้าประตู จากนั้นก็รอให้หมดเวลาการแข่งขันเท่านั้นหรือ? ทักษะที่ฝึกฝนมาต้องใช้ควบคู่กับกลยุทธ์อีกหลายอย่าง ไม่ใช่รอให้บอลมาถึงเท้าแล้วยิง การเล่นกีตาร์ก็เช่นเดียวกัน เราต้องฝึกทักษะหลายอย่าง การไล่สเกลก็เป็นการฝึกแบบหนึ่ง เปรียบเสมือนแผนที่หรือทางเดิน คุณจะเดินมั่วๆ  ก็ได้แต่อาจต้องแลกด้วยเวลา แต่ก็อย่าไปยึดติดกับการฝึกทักษะมากจนไม่กล้าสร้างสรรค์อะไร เวลาที่จะใช้ทักษะทางดนตรีก็คือช่วงเวลาการสร้างสรรค์งาน หรือการเล่นบนเวที เราสามารถประยุกต์ทักษะและเทคนิคเพื่อนำมาใช้ได้

ดนตรีเป็นเรื่องของเวลาและกาลเทศะ ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เรากำลังเล่น Improvisation เรารู้ว่าเรากำลังเล่นสไตล์แจ๊สต้องดูสไตล์เพลงและต้องดูงานที่ไปเล่น ถ้าเล่นตามเทศกาลดนตรีก็อาจปล่อยของได้เยอะ แต่ถ้าเล่นงานบันทึกเสียงให้คนอื่นหรืองานแต่งงานก็ต้องพิจารณาให้ดี กาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญ การนำความรู้ไปใช้ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมทำหนังสือทางนิ้วขึ้นมา ไม่อยากให้เล่นแต่ทางนิ้วตามแบบฝึกหัด แต่ต้องเอาไปต่อยอดเรื่องอื่นๆ หรือนำมาสร้างสรรค์ผลงาน

กระบวนการวิเคราะห์ดนตรีมีหลายแนวทาง สำหรับผมจะต้องมีประเด็นที่อยากนำเสนอก่อน จากนั้นวางโครงการดำเนินเรื่องราว การทำงานวิเคราะห์นี้เหมือนการแต่งเพลงเลยครับ นอกจากมีประเด็นแล้วต้องวางโครงเรื่อง ผมแต่งเพลงมาหลายวิธีและค้นพบว่าวิธีนี้เป็นอีกแนวทางที่ตอบสนองเราได้มาก การเลือกใช้คำศัพท์เทคนิคทางดนตรีสำหรับการวิเคราะห์ก็สำคัญ อาจดูนิยามศัพท์จากแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ แต่อย่าเชื่อถือทันที ควรหาจากหลายแหล่งข้อมูลแล้วนำมาพิจารณาร่วมกัน มุมมองการวิเคราะห์ก็สำคัญ ควรมีมุมมองหลากหลาย คอร์ดเดียวกัน องค์ประกอบคอร์ดเหมือนกัน กดสายกีตาร์ตำแหน่งเดียวกัน นักวิเคราะห์ดนตรี 2 คนก็อาจตีความแตกต่างกันได้ การวิเคราะห์นั้นมีประโยชน์มากช่วยสะท้อนถึงตัวตน ทำให้มองเห็นดนตรีเชิงลึกมากขึ้น เข้าใจว่าสิ่งที่ทำในเพลงของตนเองหรือเพลงจากศิลปินที่ชื่นชอบว่าคืออะไร สามารถส่งต่อองค์ความรู้ แรงบันดาลใจ ให้กับผู้อื่นผ่านมุมมองการวิเคราะห์


Spread the love

Songwut

เกิดและเติบโตที่ทุ่งลอ จังหวัดพะเยา เรียนจบนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำงานเป็นผู้สื่อข่าว พะเยารัฐ พลเมืองเหนือ ฐานเศรษฐกิจ สอบบรรจุรับราชการ ปัจจุบัน ยศร้อยตำรวจเอก หลังเรียนจบปริญญาโทนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ใช้เวลาว่างเขียนหนังสือส่งประกวดจึงได้รับรางวัลเป็นทุนสร้างเว็บไซต์ ตามความฝัน