รสนา โตสิตระกูล  50 ปี สันติวิถีเพื่อประชาชน  

Spread the loveรสนา …
1 Min Read 0 13
Spread the love

รสนา โตสิตระกูล เติบโตในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน เรียนคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มทำงานในกองบรรณาธิการ “ปาจารยสาร” เป็นนักอ่าน นักแปล ซึ่งส่งผลต่อ ความคิด ทัศนคดติ และอุดมการณ์ หลังเรียนจบทำโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง มีส่วนในการผลักดันสมุนไพรตัวเดี่ยว 5 ตัวแรกเช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ไพล หญ้าหนวดแมว ชุมเห็ดเทศ ให้ได้รับการประกาศเป็นสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ  หลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง พ.ศ.2540 รสนาเป็นหนึ่งในกลุ่มนักต่อสู้ที่เคลื่อนไหวตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุข จนทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข ถูกศาลพิพากษาจำคุก 15 ปี และถูกยึดทรัพย์ 233.8 ล้านบาท ต่อมาเคลื่อนไหวคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท. และ กฟผ. ใช้กระบวนการยุติธรรมทวงคืนสมบัติของแผ่นดินกระทั่ง ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการแปรรูป กฟผ., ส่วนกรณีปตท. ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้เพิกถอนการแปรรูป แต่มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี ประอบด้วย นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและ บมจ.ปตท.ร่วมกันแบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติคืนให้แผ่นดิน ซึ่งคือการคืนท่อก๊าซทั้งระบบมูลค่า 47,000 ล้านบาท แต่ได้รับคืนมาเพียง 15,000 ล้านบาท จึงยังเหลือท่อก๊าซในทะเลมูลค่าอีก 32,000 ล้านบาทที่ยังเป็นประเด็นเคลื่อนไหวต่อสู้ของรสนาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้รัฐบาลมีการเรียกคืนท่อส่งก๊าซในทะเลที่เป็นสาธารณสมบัติของประเทศให้ครบถ้วนตามคำพิพากษา

อะไรคือ ความคิด ทัศนคดติ และอุดมการณ์ ที่เธอได้รับการปลูกฝังกระทั่งทำให้เธอเป็นหนึ่งในนักต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อบรรลุเป้าหมายมานานกว่า 50 ปี ซึ่งกลายเป็นแบบอย่างของนักเคลื่อนไหวที่ยึดมั่นการต่อสู้และเคลื่อนไหวด้วยแนวคิดการต่อสู้แบบสันติวิธี

นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยุคหลัง 14 ตุลา

ครอบครัวดิฉันเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง พ่อแม่มีลูก 7 คน สมัยเรียนมัธยมยังไม่มีความคิดอะไรเป็นพิเศษ ความคิดเริ่มก่อตัวคือช่วงเรียนมหาวิทยาลัย หลังยุค14 ตุลา กระแสสังคมเปิดให้มีความคิดกว้างขึ้น และเพื่อนที่คบหาสมาคมกันสมัยมหาวิทยาลัยมีความสำคัญในการก่อรูปทางความคิด เกี่ยวกับสังคม ศาสนา สมัยเป็นนักศึกษาได้รู้จักกับอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ทำให้สนใจในเรื่องความคิดการกลับมาหารากฐานของสังคมไทย ได้รู้จักอาจารย์พุทธทาส ตอนเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ชั้นปี 1 มีการจัดนิทรรศการ “ผ่าตัดพุทธศาสนา” ได้เห็นคำพูดของท่านพุทธทาส “ตัวกูของกู” คำนี้มันแรงกระแทกใจมากเลย เป็นจุดเริ่มต้นให้สนใจ “สวนโมกข์” และพุทธธรรมผ่านอาจารย์พุทธทาส มีโอกาสไปสวนโมกข์กับชมรมพุทธศาสตร์และประเพณีในธรรมศาสตร์

หลังเหตุการณ์ 14ตุลาต้องยอมรับว่า กระแสสังคม ความตื่นตัวของผู้คนมีมากมาย เราจึงสนใจเรื่องราวทางสังคม แต่แนวคิดทางสังคมที่เขาสนใจในยุคสมัยนั้นคือ แนวคิดทางฝ่ายซ้าย (มีแนวคิดสนับสนุนความเสมอภาคทางสังคม) แต่เมื่อเราได้คบกับเพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ ของอาจารย์สุลักษณ์ และสนใจธรรมะของอาจารย์พุทธทาส ทำให้เปลี่ยนแนวคิดของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยความรุนแรงมาสนใจการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยสันติวิธีการพึ่งตนเอง พุทธศาสนา สนใจเรื่องการพัฒนาด้านในของตัวเอง เพื่อนหลายคนที่นิยมฝ่ายซ้าย  ถามเรา “เดี๋ยวนี้รสนาหายไปไหน ไปทำอะไร ทำไมไปอยู่ชมรมพุทธ” เราก็บอกว่า “กำลังแสวงหา” เขาก็บอก “แสวงหาอะไรกันเขาค้นพบกันหมดแล้ว” เป็นตัวอย่างซึ่งทำให้เห็นว่า คนยุคนั้น มีคำตอบที่แน่นอน ว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมต้องทำอย่างไร

สำหรับตัวดิฉันเองการแสวงหา คือ การกลับมาสนใจพัฒนาคุณภาพด้านใน พร้อมๆการการเปลี่ยนแปลงสังคม เราจะเข้าถึงหลักธรรม พร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร เมื่อเราอยู่กับเพื่อนที่สนใจแนวความคิดแบบนี้ และได้มีโอกาสอยู่ในคณะบรรณาธิการ สมัยนั้น เขาเรียกว่า “สาราณียกร” ของหนังสือ “ปาจารยสาร” การเข้ามาอยู่ทีมสารณียกร ทำให้มีโอกาสอ่านหนังสือแนวคิดใหม่ๆ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหาจากการพัฒนา บริโภคนิยม ที่ถลุงทรัพยากรมากเกินขีดจำกัดของโลก อย่างหนังสือ Limit to Growth พูดถึงขีดจำกัดของทรัพยากร รวมถึงความเสียหายของพืช และสัตว์ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจนเกิดการสูญพันธุ์ของสัตว์และพรรณพืช ที่เกิดจากการบริโภคเกินขีดจำกัดของโลกหรือ แนวความคิดของ มหาตมาคานธีเรื่องการพึ่งตนเอง กับแนวคิดเรื่องต่อสู้เพื่อเอกราชจากอังกฤษ

สมัยที่อินเดียต่อสู้กับอังกฤษ คานธีกล่าวว่า เอกราชจะมีประโยชน์อะไรถ้าอินเดียยังต้องพึ่งปัจจัยสี่จากอังกฤษและภายนอก อินเดียจะมีเอกราชได้จริงเมื่อสามารถพึ่งตนเอง ทำให้ดิฉันสนใจมิติต่างๆ ในลักษณะที่กว้างขึ้น เมื่อทำงานหนังสือ นอกจากเขียนบทความ แปลบทความ เราเริ่มการแปลหนังสือไปด้วย หนังสือของท่าน ติช นัท ฮันห์ เป็นพุทธศาสนาที่ไม่แยกขาดจากกิจกรรมทางสังคม เรียกว่า Engaged Buddhism ปัจจุบัน ปาจารยสารก็ยังอยู่ สืบต่อกันรุ่นต่อรุ่น แนวของหนังสือก็เป็นไปตามยุคสมัย ยุคของเราทำเรื่องของสันติวิธี ฯลฯ เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น ไพศาล วงศ์วรวิสิทธิ์ (ปัจจุบันคือพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล), พจนา จันทรสันติ , วิศิษฐ์ วังวิญญู ฯลฯ หลายคนเป็น นักคิด นักเขียน นักแปล หนังสือด้านแนวคิดใหม่ๆ

หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยก็มาช่วยก่อตั้งโครงการเล็กๆ ชื่อ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง เป็นโครงการที่ริเริ่มกัน 2 คน เพื่อนเป็น เภสัชกร เรียนจบมหาวิทยาลัยมหิดล ชื่อ คุณสุพจน์ อัศวพันธุ์ธนกุล เขาก็เป็นเภสัชกรที่สนใจเรื่องสังคม ไม่อยากทำงานในระบบ ชวนดิฉันมาร่วมทำโครงการเพื่อฟื้นฟูเรื่องยาสมุนไพร การดูแลสุขภาพ โดยกลับไปหาสมุนไพร สมัยนั้นรัฐบาลส่งเสริมยาฝรั่งมากกว่าสมุนไพร และยาไทย ตอนนั้นสุพจน์ขอให้อยู่ช่วยทำงานอย่างน้อย 2 ปี จนกว่าโครงการจะตั้งต้นได้ โครงการนี้ได้ทุนสนับสนุนจากมูลนิธิโกมลคีมทอง ซึ่ง อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นประธานมูลนิธิโกมลคีมทอง และมีรุ่นพี่อย่าง คุณพิภพ ธงไชย , ดร.อุทัย ดุลยเกษม ฯลฯ เป็นกรรมการมูลนิธิฯ ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สุลักษณ์ฯ ซึ่งเราคบหากันจนถึงปัจจุบัน ดิฉันรับปากกับเพื่อนมาร่วมทำโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง ตั้งแต่ พ.ศ.2523 ที่สัญญาว่าจะทำ 2 ปี แต่กลายเป็นทำมาเกิน 20 ปี  ต่อมาโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเองได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิสุขภาพไทยเมื่อปีพ.ศ 2539  ดิฉันออกจากการทำงานในฐานะเลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย เมื่อพ.ศ 2551 เพราะได้รับเลือกตั้งเป็น วุฒิสมาชิกกรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันก็ยังเป็นกรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย

สมัยเริ่มต้นโครงการสมุนไพรฯ เราไปทดลองการทำสวนสมุนไพรที่จังหวัดระยองประมาณ 8-9 เดือน ปลูกต้นไม้ คิดจะทำสวนสมุนไพรในหมู่บ้าน ต่อมาเราก็เริ่มคิดว่าน่าจะไม่ได้ใช้ความสามารถที่เรา2คนมีอยู่ เลยกลับมาตั้งหลักที่กรุงเทพฯ และคิดกันว่า เราควรจะใช้ความรู้ความสามารถของตนไปอย่างไร จึงจะเป็นประโยชน์ สุพจน์จบทางเภสัชกรรม มีความรู้ด้านยา และสมุนไพร ส่วนดิฉันจบมาทางวารสารฯ สามารถเขียนและทำเรื่องสิ่งพิมพ์ได้ เพื่อกระจายความรู้ให้กับสังคม กลุ่มเป้าหมายยุคแรก เราอาศัยพระสงฆ์เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เพราะพระสงฆ์เป็นผู้อยู่ใกล้ชิดชาวบ้าน จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี ( Change Agent )

ตอนนั้น เราต้องการส่งเสริมให้ประชาชนใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกการรักษาที่พึ่งตนเองได้ ราคาถูกเข้าถึงได้ง่าย จึงเริ่มต้นทำข่าวสารสมุนไพรเพื่อเผยแพร่ประโยชน์ของสมุนไพรว่าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยพื้นๆได้ ข่าวสารสมุนไพรพิมพ์เผยแพร่เกี่ยวกับสรรพคุณยาสมุนไพรแต่ละตัว ประสบการณ์การใช้ของบุคคลจริงที่เราไปสัมภาษณ์ ข้อมูลความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของสมุนไพรตัวนั้นๆ และประสบการณ์การใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน เราพิมพ์เอกสารและทำสำเนาด้วยระบบโรเนียว ส่งให้กับพระสงฆ์ประมาณ 200 รูป ปรากฎว่าได้รับความสนใจมาก จากโรเนียวก็เปลี่ยนมาพิมพ์เป็นวารสารแบบเลตเตอร์เพรส (Letterpress) และเปลี่ยนมาพิมพ์แบบ 4 สี แบบ ออฟเซ็ต (Offset Printing) วางขาย เป็นวารสารสมุนไพรรุ่นแรกๆ ที่นักวิชาการให้ความสนใจ และถือว่าข้อมูลสัมภาษณ์ประสบการณ์การใช้สมุนไพรแต่ละตัวเป็นข้อมูลปฐมภูมิ ที่นักวิชาการด้านเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลเอาไปเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยตัวสมุนไพร งานที่เราทำสมัยนั้น คือ การเก็บข้อมูลจากชาวบ้าน ว่าเขามีความรู้หรือประสบการณ์ในการใช้สมุนไพรอะไรบ้าง

ตอนนั้น พวกเราเดินทางเก็บข้อมูลหลายจังหวัด โดยมีจุดปักหลักที่หมู่บ้านห้วยหิน จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่บ้านผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิมเป็นผู้มีความรู้ด้านยาสมุนไพร เพราะคุณพ่อท่านเป็นอดีตหมอยาไทยประจำตำบล ส่วนผู้ใหญ่วิบูย์มีอาชีพทำไร่มันสำปะหลัง และเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่ชาวบ้านนับถือ ต่อมาผู้ใหญ่วิบูลย์ตัดสินใจขายที่ดินที่ใช้ทำไร่ไปเกือบ 200ไร่ เพื่อใช้หนี้ เหลือที่ดินแค่ 9 ไร่ ครอบครัวผู้ใหญ่วิบูลย์เลิกอาชีพทำไร่ปลูกมันสำปะหลัง มาปลูกพืชเพื่อเลี้ยงชีวิตตัวเอง ปลูกสมุนไพรขาย เรียกชื่อสมัยนั้นว่า “วนเกษตร” คือ เปลี่ยนจากการทำเกษตรพืชเชิงเดี่ยวที่กำลังส่งเสริมกันทั่วประเทศ มาปลูกพืชหลากหลายชนิด ทั้งไม้ผล ทั้งสมุนไพร ผู้ใหญ่วิบูลย์เคยเชื่อว่า การทำอาชีพชาวไร่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวจะทำให้ชาวไร่ ชาวนาร่ำรวยได้ แต่กว่า 20 ปีที่ทำเกษตรแบบเชิงเดี่ยวเพื่อขาย มีแต่ขาดทุนและเป็นหนี้ ผู้ใหญ่วิบูลย์ สรุปว่าการผลิตแบบเกษตรอุตสาหกรรม ยิ่งปลูกมาก ราคาจะถูกลง เป็นประโยชน์ของผู้ซื้อ ไม่ใช่ประโยชน์ของผู้ขาย ชาวไร่ชาวนาอยู่บนสายพานของอุตสาหกรรมที่พาไปสู่จุดจบคือความจน เพียงเพื่อหล่อเลี้ยงให้ผู้ซื้อได้สินค้าราคาถูก แต่ก็จะมีกลุ่มนายทุนผูกขาด ซื้อถูก ขายแพงให้ผู้ซื้อ ข้อสรุปนี้ทำให้ผู้ใหญ่วิบูลย์เลิกอาชีพปลูกมันสำปะหลัง เปลี่ยนมาปลูกเพื่อกินเพื่อใช้ และปลูกพืชสมุนไพร ได้ทำงานร่วมกันเผยแพร่ความรู้สมุนไพร

โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเองได้พิมพ์ ทั้งวารสารข่าวสารสมุนไพรราย 3เดือน ปีละ4 เล่ม และจุลสารสมุนไพรรายสะดวก เช่นเรื่องฟ้าทะลายโจร พิมพ์ครั้งแรก เมื่อราวปี 2525  เมื่อเกิดโรคระบาดโควิด 2019 ในปี พ.ศ.2563 ภญ ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร แห่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้นำฟ้าทะลายโจรมาทดลองรักษาโควิด 2019 ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยได้นำหนังสือฟ้าทะลายโจรของโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเองมาอ้างอิง ดิฉันก็ได้ร่วมสนับสนุนให้ประชาชนปลูกฟ้าทะลายโจรเพื่อเป็นยาช่วยเหลือตัวเอง ได้กระจายเมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจรให้ประชาชน และเมื่อสถานการณ์โควิดรุนแรงขึ้นในปี2564 ทางมูลนิธสุขภาพไทย ได้ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แจกฟ้าทะลายโจรแคปซูลให้ผู้ป่วยเป็นจำนวนหลายล้านแคปซูล ซึ่งช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อโควิดได้เป็นจำนวนมาก

หนังสือกับอิทธิพลต่อชีวิต

หนังสือ The Turning Point  ที่เคยแปลร่วมกับเพื่อน ในชื่อไทยว่า”จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย” เป็นหนังสือแนวคิดใหม่ ที่ปัจจุบันยังไม่ล้าสมัย เป็นหนังสือเขียนโดยฟริตจ๊อฟ คาปร้า (Fritjof Capra) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวออสเตรียผู้โด่งดังจากหนังสือ เต๋าแห่งฟิสิกส์ (The Tao of Physics) ที่เชื่อมโยงฟิสิกส์สมัยใหม่กับปรัชญาตะวันออก และมีแนวคิดสำคัญที่ว่าธรรมชาติทำงานเป็นระบบเครือข่ายเชื่อมโยงกัน เขาเสนอให้มนุษย์เรียนรู้จากธรรมชาติเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน ลดวิกฤตสิ่งแวดล้อม. ในหนังสือ The Turning Point ที่พวกเราร่วมกันแปล ( ประชา หุตานุวัตร พระไพศาล วิสาโล สันติสุข โสภณสิริ และ รสนา โตสิตระกูล )ในชื่อ “จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย” ฟริตจ๊อป คาปร้าพูดถึงแนวการพัฒนาทางสังคมที่ได้รับอิทธิพลจากฟิสิกส์ เมื่อยุคสมัยที่ระบบสังคมเข้าควบคุมธรรมชาติและทำลายธรรมชาติมากเกินไป มีความเป็นหยางหรือภาวะ เพศชายเป็นใหญ่ เรียกว่าปิตาธิปไตย  (Patriarchy ) สุดโต่งทำให้เกิดจุดเปลี่ยนที่หยิน หรือความเป็นหญิงจะมีอิทธิพลมากขึ้นเพื่อปรับสมดุล เช่น เกิดปรากฎการณ์ เรื่องสตรีนิยม เมื่อการแพทย์ตะวันตกไม่สามารถรักษาอย่างครอบคลุม ความสนใจก็หันไปสู่การแพทย์แผนตะวันออก เรื่องสมุนไพรมากขึ้น เมื่อการทำลายสิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรมากเกินพอดี ความสนใจเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติก็เพิ่มมากขึ้น

ต่อมาดิฉันได้แปลหนังสือชื่อ The One-Straw Revolution ของชาวนาญี่ปุ่นชื่อ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ ในชื่อภาษาไทยว่า “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” เป็นหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจดิฉัน และคนอ่านเป็นจำนวนมาก หนังสือเล่มนี้พูดถึงการทำการเกษตรกรรมแบบอกรรม (Non doing agriculture) คือ1)ไม่มีการไถพรวนดิน  2)ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง 3)ไม่มีการใช้ยากำจัดศัตรูพืช และ4)ไม่ทำปุ๋ยหมัก เป็นการเพาะปลูกตามแนวทางธรรมชาติ

มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านกีฏวิทยา (แมลง) ต่อมาเกิดเจ็บป่วยเกือบตาย และเกิดปรากฎการณ์ทางความเข้าใจที่เหมือนการพบธรรมะด้านใน (enlightenment ) ว่ามนุษย์ไม่ได้รู้อะไร มีความหยิ่งยะโส และเชื่อมั่นว่าตนเองรู้ และสามารถควบคุมธรรมชาติได้ ยิ่งต้องการควบคุมธรรมชาติมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติ ฟูกูโอกะพบคำตอบว่ามนุษย์ควรอ่อนน้อมและเดินตามแนวทางของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ มนุษย์ควรโอนอ่อนตามธรรมชาติ แทนการคิดควบคุมธรรมชาติ

ฟูกูโอกะได้พัฒนาแนวคิดนี้และหันมาทำเกษตร เพื่อแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ได้เข้าใจธรรมชาติผ่านการทำเกษตรกรรม และใช้แนวทางของการทำเกษตรกรรมธรรมชาติ หรือเกษตรแบบอกรรม (Non doing agriculture) เพื่อพิสูจน์ว่ามนุษย์ไม่รู้จักธรรมชาติที่แท้จริง  เขากล่าวว่าผืนดินต้องการสิ่งปกคลุมเหมือนมนุษย์ต้องการเสื้อผ้า ฟูกูโอกะจะปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดิน พืชตระกูลถั่วเป็นพืชที่ควบคุมง่าย และมีสารอาหารบำรุงดิน วลีกินใจของฟูกูโอกะ เขากล่าวว่าการทำ “เกษตรกรรมไม่ใช่เพียงการเพาะปลูกพืชผล แต่ เกษตรกรรมคือการบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ “ การที่มนุษย์ยอมโอนอ่อนต่อธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ จะทำให้มนุษย์ได้เข้าใจชีวิตที่ลึกซึ้งด้านใน ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียวเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่ง หลังจากแปลหนังสือเล่มนี้แล้ว ดิฉันหาทางไปไร่ของฟูกูโอกะ จึงไปสมัครฝึกงานอบรมด้านเกษตรอินทรีย์ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 9 เดือน เพื่อมีโอกาสไปพบฟูกูโอกะที่ไร่ของเขาเพื่อฝึกงาน 1เดือน  หลังจากเสร็จงานอบรม 9 เดือน ดิฉันหาทุนเพื่อฝึกงานต่อที่ไร่ของฟูกูโอกะ และได้รับทุนจาก ”Asian 21 Institute“  ได้ทุนฝึกงานต่อที่ไร่ฟูกูโอกะ รวมระยะเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นประมาณ 1 ปี เดือน 6เดือน ในระหว่างที่ดิฉันอยู่ที่ไร่ของฟูกูโอกะได้พบฟริตจ๊อป คาปร้ามาพบฟูกูโอกะ

หนังสือของฟูกูโอกะที่แปลเป็นไทยให้แรงบันดาลใจกับคนจำนวนมาก หลังกลับจากญี่ปุ่น ดิฉันมีโอกาสพาฟูกูโอกะมาประเทศไทย มาเยี่ยมดูเกษตรกรรมที่เมืองไทย มาพบชาวนาไทย โดยมูลนิธิเด็กสนับสนุนทุนการเดินทางมาประเทศไทย และร่วมกับมูลนิธิโกมลคีมทอง จ้ดเสวนาเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ ในหลายจังหวัด อาจารย์ประเวศ วะสี ก็มาร่วมเสวนาด้วย รวมถึงท่านอาจารย์พุทธทาสก็สนใจหนังสือแปลฉบับนี้ จึงได้มีโอกาสพาฟูกูโอกะไปกราบอาจารย์พุทธทาสที่สวนโมกข์ด้วย

สำหรับดิฉัน หนังสือทั้งที่แปลและที่อ่าน พุทธธรรมที่ได้เรียนรู้ผ่านครูบาอาจารย์ เพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร ล้วนมีอิทธิพลต่อความคิด การมองโลก และอุดมคติในชีวิตของดิฉัน หนังสือของ อาจารย์พุทธทาส หนังสือของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ ปยุตโต) คำสอนของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ  ท่านติช นัท ฮันห์  มหาตมา คานธี และ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ ล้วนมีอิทธิพลต่อความคิด และงานทางสังคมของดิฉัน หนังสือเหล่านี้ ได้พัฒนาแนวความคิด และคุณภาพชีวิตด้านใน

งานทางสังคมยุคที่2  จากงานสมุนไพร สู่งานตรวจสอบทุจริต คอร์รัปชัน : เปิดโปง! ทุจริตยา

ชีวิตดิฉันเปลี่ยนจากทำงานเย็นกับชาวบ้านในพื้นที่ชนบทเรื่องการปลูกสมุนไพร การส่งเสริมสมุนไพร การส่งเสริมอาหารปลอดสารเคมี มาเป็นกิจกรรมด้านต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2541 หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ (ต้มยำกุ้ง) ในปี 2540 และในช่วงนั้นประเทศไทยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่มีกลไกใหม่ๆให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง และข้าราชการระดับสูง ซึ่งกิจกรรมแรกของดิฉ้น คือการตรวจสอบการทุจริตจัดซื้อยาในกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2541 ตอนนั้นมีกลุ่มแพทย์ชนบทและเภสัชชนบทเริ่มเปิดโปงข้อมูลการทุจริตจัดซื้อยาแพงก่อน จนเป็นข่าวที่สังคมให้ความสนใจ แต่ถูกผู้บริหารสั่งสอบวินัยเพื่อขัดขวางการตรวจสอบ ตอนนั้นกลุ่มแพทย์ชนบทมาพบคุณพิภพ ธงไชย ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)ให้มารับไม้ต่อในการตรวจสอบการทุจริตจัดซื้อยาในกระทรวงสาธารณสุข แต่คุณพิภพ เห็นว่ากรณีนี้เป็นเรื่องทุจริตมากกว่าเป็นเรื่องการเมืองทั่วไป จึงมาติดต่อดิฉันเสนอว่ากลุ่มภาคประชาสังคมควรมาขับเคลื่อนเรื่องทุจริตมากกว่าครป. ขอให้ดิฉันประสานคุณเดช พุ่มคชา ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กปอพช.) มาช่วยรับไม้ต่อจากกลุ่มแพทย์ชนบท แต่ในการประสานงานกับคุณเดช เกิดความผิดพลาด คุณเดชไปผิดสถานที่ เลยไม่ได้เป็นผู้แถลงข่าว ทำให้ดิฉันกลายเป็นคนมาแถลงข่าวแทน

พวกเราได้ประกาศใช้กลไกรวบรวม50,000 รายชื่อของประชาชนเพื่อตรวจสอบเรื่องทุจริตยาตามกลไกรัฐธรรมนูญ 2540 พวกเรารวบรวมรายชื่อได้เกิน 50,000 รายชื่อ แต่เมื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภา ท่านไม่ดำเนินการให้ อ้างว่ายังไม่มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการใช้กลไก 50,000 รายชื่อในการตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการเรื่องทุจริต

ต่อมาในปี 2542 คณะกรรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)ได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  ซึ่งมีมาตราว่าด้วยการกล่าวหานักการเมืองและข้าราชการระดับสูงกรณีร่ำรวยผิดปกติ พวกดิฉันในนามเครือข่าย 30 องค์กรพัฒนาเอกชน จึงได้ใช้ช่องทางนี้กล่าวหารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขว่าร่ำรวยผิดปกติ ต่อมา ปปช.ได้ตรวจสอบพบว่ารัฐมนตรีไม่สามารถบอกแหล่งที่มาของจำนวนเงิน 233.8 ล้านบาท รัฐมนตรีอ้างว่าเป็นเงินที่เล่นการพนันได้จากบ่อนคาสิโนในต่างประเทศ แต่ปปช. ไม่เชื่อ จากการสืบสวนเห็นว่าเกี่ยวข้องการรับสินบนในการทุจริตจัดซื้อยาแพง เพราะในจำนวนเงิน 233.8 ล้าน พบว่ามีเงินจำนวน 5 ล้านบาทที่มาจากธุรกรรมอำพรางที่ได้จากบริษัทยา ปปช.ได้ส่งเรื่องฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต่อมาในปี 2546 ศาลฎีกาได้ตัดสินให้ยึดทรัพย์รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 233.8 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน นับเป็นคดีแรกที่ประชาชนได้ใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ 2540ในการยึดทรัพย์นักการเมือง ต่อมาปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ฟ้องต่อปปช.เรื่องความเสียหายจากคดีทุจริตจัดซื้อยาแพง ทำให้มีการสอบสวนเชื่อมโยงสินบน 5ล้านบาท กับการทุจริตซื้อยาแพง รัฐมนตรีจึงถูกพิพากษาให้จำคุก 15ปี

ความสำเร็จในการตรวจสอบการทุจริตจัดซื้อยาในกระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นความสำเร็จที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่างกลุ่มแพทย์ชนบท เครือข่าย 30 องค์กรพัฒนาเอกชน และ องค์กรสื่อมวลชน ทั้งนสพ.ทีวี วิทยุ ทำให้เป็นคดีแรกที่ภาคประชาชนสามารถจับนักการเมืองระดับรัฐมนตรีติดคุก และถูกยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

มหากาพย์ คัดค้าน! แปรรูปรัฐวิสาหกิจ

หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ในปีพ.ศ 2540 รัฐบาลต้องกู้เงิน IMFทำให้มีการร่างกฎหมายหลายฉบับเพื่อให้รัฐสามารถแปรรูปกิจการของรัฐวิสาหกิจ

ยุคนั้น คนไม่เห็นด้วยกับกฎหมายที่ออกมาหลายฉบับกฎหมายหลักคือ พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 คือกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ บรรดาผู้ที่คัดค้านเรียกกฎหมายที่ออกใหม่ว่าเป็นกฎหมายขายชาติ 11ฉบับ คนที่อยู่ในสหภาพรัฐวิสาหกิจออกมาต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทักษิณ ชินวันรประกาศหาเสียงเลือกตั้งว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาล จะยกเลิกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับที่ผ่านเป็นกฎหมายในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ แต่ปรากฏว่า เมื่อทักษิณ ชินวัตรได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี กลับเร่งรีบแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็น บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ทันทีในปีนั้น ทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ 9/11 (เครื่องบินชนตึก World Trade ในอเมริกา) แล้วนำ บมจ.ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ในปลายปี 2544ทันที

หลังจากแปรรูปปตท.ในปี พ.ศ. 2544  ทักษิณ ชินวัตร ต้องการจะแปรรูป กฟผ.(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ) ทั้งสหภาพรัฐวิสาหกิจ และประชาชน คัดค้านการแปรรูป กฟผ. มีการประท้วงยืดเยื้อถีง 400 วัน ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ประกาศไม่แปรรูป กฟผ. จะใช้การปฏิรูป กฟผ.แทน แต่หลังจากการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ที่ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเเลือกตั้งแบบถล่มทลาย สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้  มีการวิเคราะห์ว่าโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค เป็นโครงการที่ได้ใจประชาชน (คนที่เสนอแนวคิด30 บาทรักษาทุกโรคคือ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งเป็นประธานคนแรกของมูลนิธิสุขภาพไทย ) ความจริง โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค เป็นโครงการสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นแนวคิดด้านสวัสดิการพื้นฐานให้กับประชาชน ไม่ใช่โครงการประชานิยม โครงการนี้ทำให้ทักษิณ ชินวัตรอยู่ในใจของประชาชนคนไทยกว่า20 ปี ทำให้พรรคการเมืองของทักษิณได้รับการเลือกตั้งเป็นพรรครัฐบาลมาตลอด 2 ทศวรรษ

ทักษิณชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายในสมัยที่สอง เมื่อปีพ.ศ. 2548 จึงสั่งแปรรูป กฟผ. ทันที ทั้งที่เคยสัญญาตอนมีการประท้วงยืดเยื้อ 400 วัน ว่าจะไม่แปรรูป กฟผ. ดิฉันเข้ามาร่วมคัดค้านโดยใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ 2540 คือกลไกการฟ้องเพิกถอนกฎหมายแปรรูปของฝ่ายบริหารต่อศาลปกครองสูงสุด  ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยว่า พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ 2540 พอพวกเราคิดจะฟ้องศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอนการแปรรูป กฟผ. ก็มีนักวิชาการบอกว่าไม่น่าจะฟ้องได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินไปแล้วว่า พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ตอนนั้นดิฉันเห็นว่าน่าจะขัดกฎหมายอื่น เช่น พรบ.ว่าด้วยการเวนคืน เพราะกฎหมายเวนคืน หรือการรอนสิทธิทรัพย์สินของประชาชนเพื่อสร้างเขื่อน หรือรอนสิทธิที่ดินเพื่อวางสายส่ง เป็นต้น ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ เป็นไปเพื่อกิจการที่ไม่แสวงหากำไรเท่านั้น ดังนั้นการแปรรูป ที่ต้องให้เอกชนมามีสิทธิในทรัพย์สินที่ได้มาจากการเวนคืนและรอนสิทธิ จึงน่าจะขัดต่อกฎหมายดังกล่าว

เมื่อมีการแปรรูป ปตท.ส่งผลให้ประชาชนเห็นว่าทำให้ก๊าซหุงต้มแพง น้ำมันแพง ถ้าแปรรูป กฟผ. ประชาชนที่ต้องใช้ไฟฟ้า คนจนๆ ก็จะลำบากถ้าค่าไฟแพงแบบน้ำมัน

ตอนที่ฟ้องศาลปกครองสูงสุด ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจ แต่เมื่อเราไปฟ้องศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอนการแปรรูปกฟผ. ประชาชนให้ความสนใจมาก กรณีที่พวกเราฟ้องศาลปกครอง ถือว่าเป็นคดีแรกในศาลปกครองสูงสุด ที่เป็นคดีฟ้องเพิกถอนกฎหมายของฝ่ายบริหารคือรัฐบาล ที่ผ่านมา คดีฟ้องที่ศาลปกครองมีแต่เรื่องของข้าราชการฟ้องเจ้านาย โยกย้ายตำแหน่งไม่เป็นธรรม ไม่เคยมีใครฟ้องรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิประชาชน อย่างเช่น พระราชกฤษฎีกาแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ ที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกแห่งได้ เพียงแค่รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาก็สามารถแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้ทุกแห่ง ทั้งที่กฎหมายของรัฐวิสาหกิจ เป็นกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ แต่รัฐบาลสามารถแปรรูปได้เพียงแค่ออกกฎหมายในระดับพระราชกฤษฎีกา ซึ่งมีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่า แต่ในเมื่อนักวิชาการเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญ มีมติว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีใครคิดจะต่อสู้คัดค้านการแปรรูป สมัยแปรรูป ปตท. ประชาชนยังไม่ทันตั้งตัว จึงไม่มีใครคัดค้านได้ทัน

แต่เมื่อรัฐบาลจะแปรรูป กฟผ. อีกครั้ง ตอนนั้นเราเห็นผลเสียของการแปรรูปแล้ว แต่ปรึกษาใครก็ไม่มีใครเห็นด้วยว่าสามารถฟ้องได้ ตอนจะไปฟ้อง น้องที่ทำงานร่วมกัน ถามว่าแล้วเราจะชนะหรือ?  ดิฉันก็ถามกลับว่า มีแต่เรื่องชนะเท่านั้นหรือที่เราจะทำ? ที่จริงเราควรทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าถูกต้องสิ ไม่มีใครรู้ว่าจะชนะหรือแพ้  แต่มีภาษิตจีนที่กล่าวว่า “ความพยายามเป็นของมนุษย์ ส่วนความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า” หมายถึงความสำเร็จขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่หลากหลาย เราไม่มีทางรู้ว่าจะแพ้หรือชนะ แต่มนุษย์ต้องพยายามทำอย่างเต็มที่ แล้วปล่อยวางความสำเร็จให้อยู่กับเหตุปัจจัย  มีคนพูดว่า ผีไปถึงป่าช้าแล้วรสนา เราจะปลุกให้ฟื้นกลับมาได้อย่างไร คนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น แต่เราก็ตอบว่าไม่เสียหาย ตอนนี้ก็เปรียบเหมือนตายแล้ว สิ่งที่เราพยายามทำถ้าไม่สำเร็จ ก็คือเท่าทุน แต่ถ้าสำเร็จ เราก็กำไรนะ สิ่งที่เราทำไม่มีวันขาดทุน มีแต่เท่าทุน กับกำไรเท่านั้น

ตอนนั้นได้ ทนายนกเขา (นิติธร ล้ำเหลือ) มาช่วยร่างคำฟ้อง ร่างกันวันนั้นคืนนั้น พรุ่งนี้ยื่นต่อศาลฯ สมัยนั้น ตอนเรายื่นฟ้อง เราพิจารณากันอยู่ว่า มีประเด็นอะไรที่เรายื่นฟ้องได้บ้าง  ประเด็นที่ชนะ คือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของกรรมการที่ทำหน้าที่แปรรูป ซึ่งอยู่ในเนื้อหาที่เราฟ้องด้วย และรวมถึงประเด็นขัดกฎหมายเวนคืน หากมีการแปรรูป ก็เท่ากับว่า คนที่ถือหุ้น 49% ได้ทรัพย์สินในส่วนที่ได้มาจากการเวนคืนไปด้วย น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อศาลฯพิจารณา ใช้ข้อเท็จจริงในประเด็นเรื่อง กรรมการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้มีการเพิกถอนการแปรรูป กฟผ. ตอนฟ้องเพิกถอนกฟผ. เราขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว อย่าเพิ่งให้เอาหุ้น กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ศาลฯเรียกดิฉันไปให้การเพิ่มเติมว่า ทำไมศาลจะต้องมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว

ดิฉันให้เหตุผลว่า หากมีการรับฟ้องโดยไม่มีการคุ้มครองชั่วคราว เท่ากับปล่อยให้มีการขายหุ้นกฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อมีคนมาซื้อหุ้นซึ่งอาจเป็นชาวต่างชาติ และถ้าศาลฯ มีคำพิพากษาเพิกถอนการแปรรูป กฟผ. ก็จะเกิดความเสียหายกับคนที่ซื้อหุ้น ซึ่งถ้าเป็นนักลงทุนต่างชาติ จะทำให้ประเทศชาติเสียชื่อเสียงได้ ปรากฎว่าศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับการกระจายหุ้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ในตลาดหลักทรัพย์ ในวันที่ 15 พ.ย.2548  เรียกว่า เส้นยาแดงผ่าแปด เพราะจะมีการเปิดขายหุ้น กฟผ.ในวันที่ 16 พ.ย.2548 ธนาคารที่ให้คนมาซื้อหุ้น ตระเตรียมขนม เครื่องดื่มรับรองแขกที่มาซื้อหุ้น ก็ยังแซวว่า คุณรสนาพวกเราเตรียมขนมสำหรับรับแขกคนที่จะมาซื้อหุ้น ของรับแขกเลยไม่ได้ใช้เลย (หัวเราะ)

ต่อสู้! ทวงคืนระบบท่อก๊าซ

หลังฟ้องศาลปกครองสูงสุดเรื่องเพิกถอนการแปรรูป กฟผ. และศาลได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการแปรรูป กฟผ.ในเดือน มีนาคม 2549  ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2549 เราก็ฟ้องเพิกถอนการแปรรูป ปตท. ปรากฏว่าวันที่ 19 กันยายน 2549 เกิดการรัฐประหาร อย่างไรก็ตามศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในวันที่14 ธันวาคม 2550 ไม่เพิกถอนปตท. ตามคำร้องขอของพวกเรา ที่เป็นผู้ฟ้องคดี แต่มีคำสั่งให้ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง4 ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน และบมจ.ปตท. ร่วมกันแบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติคืนให้กระทรวงการคลัง การที่ศาลปกครองสูงสุดไม่เพิกถอนการแปรรูปปตท. ให้เหตุผลว่าเนื่องจาก ปตท. แปรรูปมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ได้ก่อนิติสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกเป็นจำนวนมาก และบมจ.ปตท.ขณะนั้น มีมูลค่าตลาดประมาณ 4 แสนล้านบาท หากเพิกถอนการแปรรูปจะทำให้เกิดความเสียหายได้ ศาลฯจึงสั่งไม่เพิกถอนการแปรรูป แต่อย่างไรก็ตาม ในคำพิพากษาได้ระบุว่าเป็นการแปรรูปที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้มีการแบ่งแยกทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินคืนกระทรวงการคลัง ต่อมาในปี 2551 บมจ.ปตท. ได้คืนท่อก๊าซบนบกเพียง 3 เส้น แต่ยังไม่คืนท่อก๊าซในทะเลและท่อก๊าซบนบกอีกบางส่วนตามที่

ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาว่าศาลฯพิจารณาท่อส่งก๊าซเป็นระบบไม่ได้พิจารณาท่อส่งก๊าซเป็นท่อนเป็นส่วน ในขณะนั้น พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านยอมรับตามคำพิพากษา และมีมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 สาระสำคัญระบุว่า 1.รัฐบาลยอมรับตามคำพิพากษาของศาล และมอบให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานทำหน้าที่แทนครม.ในการแบ่งแยกทรัพย์สินคืน  2) มอบหมายให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องในการคืนทรัพย์สินตามคำพิพากษา 3.หากมีข้อโต้แย้งว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติที่จะต้องส่งคืน ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยให้มีข้อยุติ 4.ห้าม ปตท. ใช้อำนาจมหาชนอีกต่อไป

ในปี 2551 บมจ.ปตท.คืนท่อส่งก๊าซบนบก 3เส้น มูลค่า 15,000 ล้านบาท ส่วนท่อก๊าซในทะเลไม่ยอมคืน และไม่ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยตามที่ระบุไว้ใน มติ ครม. แต่สตง.บอกว่าท่อส่งก๊าซทั้งระบบรวมท่อส่งก๊าซในทะเลและท่อส่งก๊าซบนบก ที่แปรรูปไปเมื่อปี 2544 ในมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินที่ต้องคืนตามคำพิพากษา และตามมติ ครม. 18 ธันวาคม 2550 บมจ.ปตท.คืนท่อส่งก๊าซ 3เส้น มูลค่า 15,000 ล้านบาท จึงยังเหลือท่อส่งก๊าซที่ต้องคืนในมูลค่าอีกประมาณ 32,000 ล้านบาท

ดิฉันในฐานะหนึ่งในผู้ฟ้องคดีได้ร่วมกันฟ้องต่อศาลปกครองว่า บมจ.ปตท.ยังคืนทรัพย์สินที่เป็นท่อส่งก๊าซทั้งระบบไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษา แต่ศาลปกครองฯไม่รับฟ้องด้วยเหตุผลว่า พวกดิฉันที่เป็นผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้ชนะคดี (เพราะศาลไม่ได้เพิกถอนการแปรรูป ปตท.) และพวกเราก็ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์จึงไม่มีสิทธิในการขอบังคับคดี ต่อมา เรารวบรวมรายชื่อประชาชน 1400 คน ฟ้องใหม่ว่า การที่ ปตท.ยังคืนทรัพย์สินไม่ครบถ้วนตามการตรวจสอบของสตง.เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามมติ ครม. ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ 800/2557 ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าการคืนทรัพย์สินไม่ครบถ้วนเพราะไม่ได้ปฏิบัติตามมติ ครม. นั้น มติครม. เป็นคำสั่งภายใน ซึ่งเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ต้องสั่งการให้มีการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามคำพิพากษา ต่อมา

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ขออนุญาต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา เมื่อพล.อ ประยุทธ์เห็นชอบ จึงมีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณากรณี ว่าท่อส่งก๊าซในทะเลเป็นสาธารณสมบัติที่ต้องคืนหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานกรรมการคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาและมีคำวินิจฉัยว่า ศาลปกครองสูงสุดมิได้มองท่อส่งก๊าซเป็นส่วนๆ เป็นท่อนๆ แต่มองท่อส่งก๊าซเป็นระบบ จึงหมายความว่าต้องคืนท่อก๊าซทั้งระบบ การดำเนินการของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยังคืนท่อก๊าซไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด

ปัจจุบัน ผู้ฟ้องคดีได้ข้อมูลตามมติครม.มาครบแล้วว่า สตง.ได้มีการตรวจสอบแล้วว่าท่อส่งก๊าซทั้งระบบที่มีการแปรรูปไปเมื่อพ.ศ 2544 มูลค่าประมาณ 47,000 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินที่ต้องคืนตามคำพิพากษา และคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยนายมีชัย ฤชุพันธ์ มีคำวินิจฉัยว่าคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด มองท่อส่งก๊าซเป็นระบบ จึงต้องคืนท่อส่งก๊าซทั้งระบบที่มีการแปรรูปไป ดังนั้นบมจ.ปตท.ยังคืนท่อก๊าซไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษา ซึ่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2567 ในการเรียกคืนท่อส่งก๊าซให้ครบถ้วนตามคำพิพากษา แต่ยังไม่มีการดำเนินการจากนายกรัฐมนตรีคนใด สั่งการให้มีการคืนท่อก๊าซให้ครบถ้วน ซึ่งดิฉันและผู้ฟ้องคดี ได้ติดตามทวงท่อส่งก๊าซสมบัติชาติคืน ผ่านมา 17ปีแล้ว นับตั้งแต่ปี 2551 ที่ บมจ.ปตท.คืนแค่ท่อส่งก๊าซ 3 เส้นบนบกให้กระทรวงการคลัง จนบัดนี้ดิฉันยังคงต้องติดตามทวงต่อไปจนกว่าจะได้รับคืนตามคำพิพากษา

โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2001 เคยกล่าวว่า Prvatisation is Bribarization ความหมายคือการแปรรูป คือการติดสินบนหรืออาจแปลว่าเป็นการทุจริตรูปแบบหนึ่ง อย่างเช่นการแปรรูปกิจการของรัฐ จะมีการจัดการเรื่องหนี้สิน และทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจเพื่อคำนวณเป็นมูลค่าทรัพย์สินเพื่อกำหนดเป็นมูลค่าหุ้นในการขาย กรณีมูลค่าทรัพย์สินสำหรับแปรรูปในประเทศไทย ใช้ “มูลค่าบัญชี“ (คือมูลค่าทรัพย์สินหลังหักค่าเสื่อม) มาเป็นมูลค่าในการขาย (แปรรูป) ทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งคือทรัพย์สินของประชาชน น่าจะเป็นการคิดราคาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่  ยกตัวอย่าง ถ้ารัฐวิสาหกิจซื้อรถยนต์มาเป็นอุปกรณ์ในกิจการ มูลค่า 1ล้านบาท และหักค่าเสื่อมปีละ 200,000 บาท ผ่านไป5 ปี รถยนต์คันนั้นจะถูกตัดค่าเสื่อมเหลือ 0 บาท แต่รถยนต์อายุใช้งาน 5ปี ถ้าขายต่อยังมีมูลค่ามากกว่า 0 บาท หากเป็นรถสำหรับทำกิจการค้าขาย แสดงว่าการใช้รถยนต์คันนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายแล้ว จึงเป็นกำไรของเจ้าของกิจการ แต่การแปรรูปทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจ กลับถูกขายในราคาตามมูลค่าบัญชี จึงมีทรัพย์สินที่มูลค่าบัญชีเหลือ 0 แต่ใส่ไว้ 1 บาท ก็จะถูกขายเหมาในราคา 1 บาท จึงเป็นจริงตามที่ สติกลิตส์ กล่าวไว้ว่า ”การแปรรูปคือการติดสินบน“ หรือ ”การแปรรูป คือการทุจริตรูปแบบหนึ่ง“ ใช่หรือไม่ ?!

ท่อส่งก๊าซทั้งระบบถูกแปรรูปไปในมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นท่อส่งก๊าซที่สร้างด้วยภาษีของประชาชนในสมัย พล.อ เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อประมาณปี 2524 มูลค่าหลายแสนล้านบาท และได้ตัดค่าเสื่อมไป 20ปี จนถึงปี 2544 ท่อส่งก๊าซจึงมีมูลค่าบัญชีเหลืออยู่เพียง 47,000 ล้านบาท หาก ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจไม่ถูกแปรรูป มูลค่าท่อส่งก๊าซจะถูกตัดค่าเสื่อมจนเหลือ 0 ในเวลาอีกไม่นาน หลังจากนั้น ประชาชนที่เป็นเจ้าของภาษี ควรจะได้ใช้ท่อส่งก๊าซในราคาต่ำเพราะไม่มีต้นทุนแล้ว มีเพียงค่าบำรุงรักษาเท่านั้น ค่าผ่านท่อน่าจะถูกลงมาก จะช่วยให้ราคาพลังงานที่ขายประชาชนมีราคาถูก แต่เมื่อถูกแปรรูปไปเป็นของเอกชนในราคาตามมูลค่าบัญชีที่ 47,000 ล้านบาท บมจ.ปตท.เก็บรายได้จากค่าผ่านท่อช่วงปีแรกๆ ปีละ 15,000 ล้าน แค่ 3-4 ปี ก็ได้ทุนคืนหมดแล้ว

ต่อมาในปี2552 บมจ.ปตท.ได้จ้างบริษัทเอกชน 2บริษัทมาประเมินมูลค่าท่อส่งก๊าซชุดนี้ใหม่ เพราะมูลค่าบัญชีตัดค่าเสื่อมไปหมดแล้ว แต่อายุการใช้งานของท่อส่งก๊าซชุดนี้ยังไม่หมด การประเมินมูลค่าท่อส่งก๊าซ ที่เคยประเมินว่ามีอายุการใช้งานเหลือ25ปี มีการประเมินใหม่ว่ามีอายุใช้งานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 35-40ปี จึงประเมินว่ามีมูลค่าทางธุรกิจเพิ่มขึ้นโดยบริษัทเอกชน 2 แห่ง บริษัทแรกประเมินว่ามีมูลค่า 105,000 ล้านบาท อีกบริษัทประเมินว่ามีมูลค่า 120,000 ล้านบาท บมจ.ปตท.จึงทำเรื่องไปที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ขอเพิ่มค่าผ่านท่อจากราคาเดิมประมาณ 19บาทต่อล้านบีทียู เป็น ประมาณ 21บาทต่อล้านบีทียู ทำให้ บมจ.ปตท. มีรายได้จากค่าผ่านท่อจากท่อส่งก๊าซชุดนี้สูงถึง 600,000 ล้านบาท จากต้นทุนเพียง 47,000 ล้านบาทในเวลา 22ปี (พ.ศ 2544 – 2565 ) ส่วนท่อส่งก๊าซ3 เส้นบนบก ที่กระทรวงการคลังได้รับคืนมา ก็ทำสัญญาให้บมจ.ปตท.เช่าใช้ในราคาสูงสุดไม่เกินปีละ 550 ล้านบาทเป็นเวลา 30ปี ตั้งแต่ พ.ศ 2550-2580 ค่าเช่าท่อส่งก๊าซที่กระทรวงการคลังได้รับในเวลา 22ปี (พ.ศ 2544-2565 ) ประมาณ 9,800 ล้านบาท ค่าผ่านท่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งในราคาค่าไฟในประเทศไทย ที่มีราคาแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ดิฉันยังคงติดตามทวงคืนท่อส่งก๊าซทั้งระบบอยู่ นับตั้งแต่มีการคืนท่อก๊าซ 3เส้นเมื่อ พ.ศ 2551 จนถึงปัจจุบันพ.ศ. 2568 เป็นเวลา 17 ปีแล้ว ที่ท่อส่งก๊าซทั้งระบบ ยังไม่ได้รับคืน ดิฉันเชื่อว่าถ้าบ้านเมืองไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนก็ยากที่จะได้รับความเป็นธรรมในประเทศนี้

ดิฉันเห็นว่านับตั้งแต่ ทศวรรษที่ 2540 เป็นต้นมา เหมือนมีความก้าวหน้าทางรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่า มันกลายเป็นการเป็นทศวรรษของการผ่องถ่ายทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่ในความควบคุมของรัฐวิสาหกิจไปให้กลุ่มทุนร่ำรวยขึ้น แต่ประชาชนต้องรับกับความยากลำบากเพราะราคาพลังงานแพง ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ประชาชนจ่ายให้กับการใช้พลังงานทั้งระบบในปี 2567 คิดเป็นเงิน 2.7 ล้านล้านบาท เท่ากับ 14.8 % ของจีดีพี

ส่วนที่ดิฉันพยายามขับเคลื่อนผลักดันก็ในมุมนี้ คือ การทำให้ประชาชนได้ลดค่าใช้จ่าย ในกิจการสาธารณูโภคขั้นพื้นฐานอย่างเป็นธรรม เอกชนควรได้กำไรที่พอสมควร ไม่ใช่กำไรมากเกินไปจากอำนาจผูกขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

สำหรับดิฉัน การที่เรายึดในหลักธรรมะของพุทธเจ้า คือการฝึกตนให้มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง และทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมากขึ้น  เหมือนอย่างพระไพศาลสรุปเป็นคำสั้นๆว่า การทำ “กิจ” กับการทำ “จิต” (การทำกิจหรือทำหน้าที่ทางโลกที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม) เมื่อเราทำกิจให้ส่วนรวม เราก็ได้รับผลนั้นด้วย เพราะเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับส่วนรวมนั้นด้วย ถ้าเรามีความเป็นธรรมต่อประชาชน เราก็จะได้รับความเป็นธรรมอันนั้นด้วย อุปมา การทำจิตเหมือนกับรากของต้นไม้ยิ่งรากหยั่งลึกเท่าใด ยอดไม้ก็จะแผ่ไพศาลเท่านั้น ถ้าจิตใจของเราเห็นแก่ตัวน้อยลง เราก็จะทำประโยชน์ได้กว้างขวางมากขึ้น ทำแล้วสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ถือเป็นหน้าที่ มิใช่ว่า ทำอะไรแล้วก็ต้องสำเร็จเสมอไป เพราะความสำเร็จต้องการองค์ประกอบปัจจัยอีกมากมาย ในแง่ของการทำกิจ สนับสนุนพัฒนาการทางด้านจิตใจเรา จิตใจที่ดีขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อการทำกิจที่กว้างขวางขึ้นเช่นกัน เป็นหลักการที่ดิฉันพยายามปฏิบัติ แต่เป็นธรรมดาบางครั้งก็ต้องมีหมดหวังหมดกำลังใจบ้าง แต่ก็อาศัยเรื่อง พระมหาชนกของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเตือนใจไม่มัวแต่ท้อแท้ที่ยังไม่เห็นฝั่ง แต่ให้มุมานะว่ายน้ำต่อไป ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องทำกิจไปเรื่อยๆ พร้อมกับการพัฒนาคุณภาพจิตใจภายในของเรา               

ร.ต.อ.ทรงวุฒิ จันธิมา (กระจอกชัย) สัมภาษณ์


Spread the love

Songwut

เกิดและเติบโตที่ทุ่งลอ จังหวัดพะเยา เรียนจบนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำงานเป็นผู้สื่อข่าว พะเยารัฐ พลเมืองเหนือ ฐานเศรษฐกิจ สอบบรรจุรับราชการ ปัจจุบัน ยศร้อยตำรวจเอก หลังเรียนจบปริญญาโทนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ใช้เวลาว่างเขียนหนังสือส่งประกวดจึงได้รับรางวัลเป็นทุนสร้างเว็บไซต์ ตามความฝัน