ยุคบุกเบิกแจ๊สศึกษา รศ.ดร.เด่น  อยู่ประเสริฐ

Spread the loveรศ.ดร…
1 Min Read 0 242
Spread the love

รศ.ดร.เด่น  อยู่ประเสริฐ กับยุคบุกเบิกดนตรีแจ๊สศึกษาในประเทศไทย

รศ.ดร.เด่น  อยู่ประเสริฐ คือนักดนตรีแจ๊สผู้บุกเบิกการสอนดนตรีแจ๊สในประเทศไทย เริ่มเรียนดนตรีที่โรงเรียนดนตรีสยามกลการ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ไทย – สหรัฐอเมริกา เรียน Interlake High School จบปริญญาตรี วิทยาลัยศิลปะคอร์นิช (Cornish College of the Arts) จบปริญญาโทมหาวิทยาลัยนอร์ทเท็กซัส                    (University of North Texas) จบปริญญาเอกสาขาการประพันธ์เพลงและการสอนดนตรีแจ๊ส จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เป็นศิลปินเชี่ยวชาญการเล่นเปียโน มีผลงานเรียบเรียงและบรรเลงเปียโนกับค่ายแกรมมี่ 2 อัลบั้ม ได้รับรางวัล ศิลปาธร สาขาดนตรี พ.ศ.2552 ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งคณบดีวิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต มีประสบการณ์การเล่นดนตรี การเรียบเรียง การประพันธ์ ดนตรีแจ๊ส ทัศนะและมุมมองด้านการศึกษา ที่มีต่อระบบการศึกษาดนตรีแจ๊สในประเทศไทยจึงน่าสนใจอย่างยิ่ง

เปียโนสารพัดประโยชน์

ตอนเด็ก คุณพ่อซื้อคีย์บอร์ดเครื่องเล็ก ความจริงแล้วคีย์บอร์ดเครื่องนั้นคือเครื่องฟังวิทยุที่สามารถเล่นเป็นคีย์บอร์ด เล่นเทปคาสเซ็ท และมีไมโครโฟนสำหรับร้องเพลง ผมชอบกดเล่น คุณพ่อสังเกตเห็นจึงส่งผมไปเรียนดนตรีที่โรงเรียนดนตรีสยามกลการ ตอนนั้นผมอายุประมาณสิบกว่าขวบ แต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบเรียนดนตรีเป็นเพราะชอบฟังเพลง คุณแม่ซื้อเทปคาสเซ็ท แผ่นเสียง ตอนนั้น ผมฟังเพลงแต่ก็ไม่เข้าใจว่าดนตรีคืออะไร ยังไง ผมเรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เล่นดนตรีวงโยธวาทิต เวลามีประชุมที่โรงเรียนจะต้องมีคนเล่นเปียโน ออร์แกน อาจารย์ให้โอกาสผมเล่น และให้นักเรียนร้องเพลงเหมือนอยู่ในโบสถ์ ช่วงมัธยมมีการประกวดดนตรี พวกเราทำวงป๊อบร็อกเพื่อร่วมประกวด ช่วงเวลานั้นเรามีความสุขมาก

ในช่วงที่ผมเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 คุณพ่อแนะนำให้ผมสมัครเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เรียนที่สหรัฐอเมริกา เรียนไฮสกูล Interlake High School เป็นโรงเรียนที่มีโปรแกรมดนตรีที่ดีมาก มีวงออเคสตร้า ซิมโฟนิคแบนด์ แจ๊สแบนด์ คณะนักร้องประสานเสียง ที่นั่นเป็นเหมือนโรงเรียนของรัฐ ผมเพิ่งรู้ทีหลังว่า เป็นเรื่องที่พิเศษมากที่ผมได้เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ที่สหรัฐอเมริกาทุกโรงเรียนไม่เป็นแบบนี้ ผมได้ครูที่ดี สนับสนุนให้ผมเล่นดนตรี สอนให้ผมทำหลายอย่าง เนื่องจากผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ผมจึงไม่สนใจเรื่องวิชาการมากเท่าใด แต่ที่นั่น เรียนดนตรีได้หน่วยกิตเป็นวิชาเรียน

หลังเรียนจบหนึ่งปี ผมกลับไทย สมัยก่อนเป็นระบบเอ็นทรานซ์ ผมกลับประเทศเข้าระบบเอ็นทรานซ์เพื่อเข้าสอบเรียนมหาวิทยาลัยของประเทศไทยไม่ทัน ผมจึงขอกลับไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากผมไม่ได้ใบประกาศนียบัตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (High School Diploma) ผมต้องเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่งปีเพื่อให้จบหลักสูตรมัธยมของสหรัฐอเมริกา และตั้งใจว่าจะเรียนดนตรี ผมอยากเรียน Jazz เพราะในยุคสมัยนั้นในประเทศไทย ไม่มีที่ไหนสอนดนตรีสาขา Jazz ผมขอเรียนต่อที่วิทยาลัยศิลปะคอร์นิช (Cornish College of the Arts) เป็นวิทยาลัยสอนศิลปะ มีดนตรี การแสดง มีการเต้น การออกแบบ การวาดรูป ผมรู้สึกชอบวิทยาลัยแบบนี้มาก เรียนมหาวิทยาลัย เราต้องเรียนวิชาการ วิชาศึกษาทั่วไป คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไป เพียงแต่เขาเน้นการเรียนการสอนเรื่องศิลปะ ผมรู้จักเพื่อนที่เรียนคณะอื่นๆ เนื่องจากเป็นวิทยาลัยขนาดเล็ก คนน้อย เราต้องทำทุกอย่าง ช่วงที่เรียเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ผมต้องแสดงละคร เต้น ร้องเพลง นักเปียโนมีน้อย ผมต้องไปช่วยเล่นเปียโน เหมือนตอนเรียนไฮสคูลที่ผมต้องเล่นเปียโนให้ทุกวง แต่นั่นทำให้เราถูกพัฒนาโดยไม่รู้ตัว บางอย่างเราทำได้ไม่ดี แต่จำเป็นที่จะต้องเล่น ตามที่เพื่อนขอให้ช่วยเล่น ทำให้เราโตขึ้น เรียนรู้เพลงมากขึ้น พัฒนาทักษะการอ่านโน้ต สามารถการเปลี่ยนคีย์ได้ทันที ทำให้เรามีทักษะหลายอย่างเพิ่มขึ้น

เรียนรู้ได้เร็วเพราะ Jam session

ระหว่างเรียนเพื่อนชวนเล่นดนตรีในคลับเล็กๆ สิ่งที่ทำให้เรียนรู้ได้จริงๆ คือ Jam session เราได้เจอนักดนตรีที่มีฝีมือจำนวนมาก ทำให้เราพบว่า โลกกว้างใหญ่ไพศาลมาก ตอนอยู่โรงเรียนคิดว่าเจ๋งแล้ว พอเรียนจบปริญญาตรี กลับเมืองไทย เป็นยุคเศรษฐกิจดี ผับเปิดถึงตี 4 ผมถามคุณอาว่าควรจะเริ่มยังไงดี คุณอาโทรหาพี่ต๋อง เทวัญ ทรัพย์แสนยากร แล้วพี่ต๋องก็ชวนผมเล่นดนตรีงานการกุศล เมื่อผมรู้จักนักดนตรีมากขึ้นก็เริ่ม jam session แล้วมันก็สุดยอดมาก นักดนตรีเก่งมาก พวกเขาแจมกันอย่างสนุกสนาน ผมมองเห็นพี่โรเบิร์ตเล่นเปียโน มองเห็นพี่น้องตระกูล “ปานพุ่ม” เล่นดนตรี ผมชอบการตีกลองของพี่เล็ก (อริญญ์ ปานพุ่ม) เขาตีกลองได้ละเอียดมาก ผมรู้สึกทึ่งมากเพราะเขาไม่ได้ไปต่างประเทศแต่เขาทำได้อย่างไร คือ เด็กสมัยนี้อาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ยุคสมัยนั้นมันยากจริงๆ เพราะยุคสมัยก่อนไม่มีสื่ออะไร ไม่มีแผ่นซีดี หรือโน้ตเพลง นักดนตรีต้องขวนขวาย เขาขยันฝึกซ้อมจนเก่งขนาดนี้ พอขึ้นไปแจม มีคนรู้จักมากขึ้น นักดนตรีรุ่นพี่เริ่มชวนไปเล่น เล่นดนตรีด้วยกันนานที่สุด คือ พี่เล็ก พี่ซาร์ แมว เราสนิทเป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้

ผมทำงานเมืองไทย 3 ปี  มีคนชวนผมไปสอนดนตรี มีอาจารย์ประทักษ์ ใฝ่ศุภการ และอาจารย์สุกรี เจริญสุข เมื่อเริ่มสอนก็คิดว่า ถ้าผมจะเอาดีด้านการสอน ผมควรจะเรียนต่อ ผมสอนอยู่ประมาณ 1 ปี ก็กลับไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยนอร์ทเท็กซัส สหรัฐอเมริกา (University of North Texas) ความจริงผมอยากไปเรียนตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี เพราะเราได้ยินว่า ถ้าอยากเรียนแจ๊สต้องเรียนที่นอร์ทเท็กซัส แต่ที่นั่น มีคนเรียนเยอะมาก ทุกคนเก่ง ตัวเลือกเยอะมาก การแข่งขันสูงมาก มีวงบิ๊กแบนด์ 9 วง ต้องออดิชั่นเข้าวงดนตรี ตำแหน่งนักเล่นเปียโนรับเพียง 1-2 คน นักเปียโน 30 คน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเล่นในวงดนตรีได้ ซึ่งการอยู่ในวงเป็นเกณฑ์ของหลักสูตร ฉะนั้น การจะเรียนจบต้องออดิชั่นเข้าวงดนตรีให้ได้ ทุกคนต้องซ้อมหนักมาก ต้องแย่งกันจองห้องซ้อม

ปริญญาเอกดนตรีแจ๊สคนแรกของไทย

ตอนแรกผมคิดว่า เราเรียนดนตรีอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ การเรียนมหาวิทยาลัย เราต้องเรียนหนังสือวิชาประวัติศาสตร์ วิชาวิเคราะห์ วิชาวิจัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเขียนหนังสือ ตอนแรกผมไม่เข้าใจ เนื่องจากเราต้องวิเคราะห์ อธิบาย ทำรายงาน ต่อมาจึงเข้าใจว่า การเขียนหนังสือมีประโยชน์มากๆ ในวันที่เราอยากเป็นครู อยากทำงานด้านการศึกษา อยากเติบโตในงานด้านการศึกษา เมื่อมีคนเยอะ มีกิจกรรมเยอะ มีคอนเสิร์ตตลอด ผมดูวงออร์เคสตรา (orchestra) ซิมโฟนิคแบนด์ (Symphonic Band) แจ๊ส (jazz) ดนตรีทดลอง วงดนตรีอื่นๆ ทำให้เราเปิดโลกทัศน์ดนตรี หลังเรียนจบ ผมทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น 2 ปี เรียนต่อปริญญาเอก มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นโคโลราโดสหรัฐอเมริกา (University of Northern Colorado) ผมเรียนกับ ศ.ดร.จีน เอทคิน (Dr.Gene Aitken) ท่านเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากในการสอนดนตรีแจ๊ส

การเรียนที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นโคโลราโด อาจารย์สามารถดูแลเราได้ดี นอกเหนือจากเรียนแล้ว ผมเป็น TA หรือผู้ช่วยอาจารย์ซึ่งต้องทำงานอื่นๆ เช่น ต้องดูแลห้องสมุดดนตรี ช่วยสอนวิชารวมวง ช่วยสอนทฤษฎีดนตรี ช่วยสอนเล่นเปียโน ช่วยทำเทศกาลดนตรีแจ๊ส (Jazz Festival ) ที่นี่เขามีเทศกาลดนตรีที่มีชื่อเสียงซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี การจัดเทศกาลดนตรีเป็นงานที่หนักมากเพราะต้อง Setup เวทีการแสดง ยกลำโพง จัดเวที ดูแลจัดการ เป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก แต่ที่สุดแล้วเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะมันเป็นการฝึก ทำให้เรารู้ว่า การทำเทศกาลดนตรีใหญ่เราต้องการอะไรบ้าง เราได้ประสบการณ์เยอะมาก เรียน ทำงาน สอนนักศึกษา เป็นประโยชน์กับชีวิตผมมาก ผมสอนดนตรีที่นั่น 3 ปี สอนวงดนตรีบิ๊กแบนด์ สอนวงแจ๊สวงเล็ก เล่นเปียโนให้นักร้อง สอนเปียโน สอนทฤษฎี ประสบการณ์ด้านการสอนพัฒนาแนวคิดเรื่องการสอน หลังเรียนจบ ผมทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นเวลา 20 ปีแล้ว

การแข่งขันในวงการศึกษาดนตรีแจ๊ส

ตอนเรียนนอร์ทเท็กซัส ผมเตรียมตัวเพราะรู้ว่าที่นั่นมีการแข่งขันสูง แต่ไม่คิดว่าการแข่งขันจะสูงมากขนาดนั้น ผมซ้อมดนตรีอย่างหนัก ซ้อมทุกวันเป็นปกติ ซ้อมวันละ 6-7 ชั่วโมง ผมเตือนนักศึกษาดนตรีอยู่เสมอว่า ตอนเป็นนักศึกษาเป็นช่วงเวลาที่ดีในการที่คุณจะได้ฝึกซ้อมดนตรีอย่างเต็มที่ หลังเรียนจบก็จะไม่มีเวลาซ้อมอีกแล้ว ผมเรียนจบปริญญาตรี เมื่อตัดสินใจเรียนต่อ ผมซ้อมดนตรีอย่างหนักอีกครั้ง นอกจากนั้นยังต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบหลายวิชา เช่น ทฤษฎีดนตรี ประวัติศาสตร์ดนตรี เปียโน โสตทักษะ (Ear Training) การออดิชั่น จะเน้นการอ่านโน้ต (Sight reading) การอ่านโน้ต ชาวยุโรปตะวันออก คนเกาหลี อ่านโน้ตเก่งมาก เมื่อวางโน้ตเขาจะอ่านได้ทันที  ตั้งแต่อยู่มัธยม ผมโชคดีมากที่ได้อาจารย์ที่ดี เขาพยายามฝึกเรา ตั้งแต่การอ่านโน้ต แจม การฟัง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก อาจารย์ดนตรี มิสเตอร์ ลีโอ ดอดด์ (Leo Dodd) เขามีตารางและบันทึกชื่อของพวกเรา แล้วเขาให้เราเขียนลงไปว่า เราฟังเพลงอะไรไปบ้าง แล้วเราก็ต้องเขียนลงบนกระดาน ถ้าไม่มีแผ่นเสียงก็สามารถยืมได้ ผมมักจะถามอาจารย์ว่า ผมควรจะฟังใครดี อาจารย์เขาจะแนะนำ เอโร การ์ดเนอร์ (Erroll Garner) ซึ่งเป็นการเปิดโลกดนตรีอีกแบบ หรือฟังผลงานเพลงของ ออสก้า ปีเตอร์สัน (Oscar Peterson) เราเริ่มต้นจากการฟัง เขาให้เล่นดนตรีหรือแจมในวงเล็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนอกหลักสูตร คือเขาให้นักเรียนวงใหญ่นัดซ้อมเป็นวงเล็ก เราเล่นแบบไม่รู้เรื่อง อาจารย์บอกให้เล่นไปโดยไม่ต้องสนใจอะไรมาก ซึ่งมันดีมากกับอีโก้ มันทำให้เราไม่กลัวที่จะเล่นผิด อาจารย์ให้เราอิมโพรไวส์ (Improvise) ทำให้เรามีความกล้า

การแกะเพลงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้แจ๊ส

ตอนเรียนปริญญาตรีมีการ แจม เซสชั่น (Jam session) เยอะมาก ตอนนั้นเราอาจเล่นได้ไม่ดี แต่ผมคิดว่า แนวคิดแบบนี้ทำให้เรากล้า ไม่กลัว เมื่อเรียนดนตรีเราจะเข้าใจเองว่าเป็นอย่างไร หรือเมื่อมีประสบการณ์ด้านการฟังเพลงมากขึ้น ก็จะเข้าใจมากขึ้น ซึ่งในช่วงนั้นเราแกะเพลง ผมต้องโซโล่เพลงของ เคาท์ เบซี (Count Basie) ก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร อาจารย์ให้แกะเพลงจากแผ่นเสียง ทราบที่หลังว่า การแกะเพลง (Transcribe) เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้เข้าใจบทเพลง การแกะเพลงแล้วเล่นเลียนแบบ เล่นตาม ช่วยพัฒนาได้มากๆ การฟังแล้วเล่นตามยังไงก็พัฒนา เพราะหูเราฟังดนตรีได้ดีขึ้น เมื่อฟังแล้วเรารู้ว่าตำแหน่งของตัวโน้ตน่าจะอยู่ประมาณไหน สิ่งที่ตามมาคือเทคนิคการเล่นจะพัฒนาขึ้น

การแกะเพลงแล้วเล่นตาม เป็นการเรียนรู้เทคนิคของคนอื่น เช่น ชิค คอเรีย (Chick Corea) เมื่อเราแกะเพลงแล้วเล่นตามเราจะได้เทคนิคของ ชิค คอเรีย สำหรับการเล่นดนตรีแจ๊ส ผมคิดว่า การแกะเพลงสำคัญมากๆ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะจำกัดตนเองตามเท่าที่มือเราสามารถทำได้ ต่อให้เราได้ยินอะไรที่เจ๋ง (Cool) หรือพิสดารขนาดไหน ถ้ากล้ามเนื้อไม่พร้อม มันไม่สามารถถ่ายทอดลงที่มือได้ เราต้องมีวินัยในการฝึกซ้อมมากๆ ค่อยๆ ฝึก เล่นตามช้าๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ

นักดนตรีมีส่วนคล้ายกับนักกีฬา เราต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม ก่อนจะวิ่งเร็วก็ต้องวิ่งช้าให้ได้ ว่ายน้ำต้องควบคุมระบบการหายใจ ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน การที่นักกีฬามีโค้ช เขาจะมองเราจากมุมมองด้านนอก ซึ่งทำให้มองเห็นว่าเราควรจะแก้ส่วนไหน หรือพัฒนาส่วนไหน โค้ช คืออาจารย์ที่จะมองเห็นเราว่า ควรจะปรับปรุงอย่างไร และบอกกับเราว่า เล่นช้าๆ ซ้อมให้ถูกต้อง เด็กๆ มักจะใจร้อน ตอนเป็นเด็กผมใจร้อนอยากเล่นเร็วๆ เนื่องจากเทคนิคไม่ดีเราก็เล่นกันผิดๆ โน้ตไม่แม่นยำ มันจะผิดอยู่จุดเดิม เพราะเรายังไม่พร้อม ผมบอกนักศึกษาว่า ถ้าอยากจะเล่นเร็ว ให้ฝึกฝนเล่นช้าให้ถูกต้อง เดี๋ยวมันก็จะพัฒนาให้เร็วขึ้นเอง เหมือนนักกีฬา ต้องพัฒนากล้ามเนื้อ ต้องใจเย็นๆ

ผมคิดว่า เราต้องรู้ตนเองว่าเรามีกำลังใจในการเล่นขนาดไหน บางครั้ง การเล่นดนตรีไม่รุนแรงเท่ากับเล่นกีฬา แต่เปรียบได้กับการเล่นเครื่องเป่าหรือมือกลอง อาจารย์เคยสอนว่า ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบปล่อยของ ค่อยๆ เล่าเรื่องราว มีเรื่องอะไรบ้าง แล้วเราไปจุดพีคของเพลง ไม่อย่างนั้น ถ้าเราปล่อยของตั้งแต่ตอนต้น มันไม่มีที่ไป คือเราเป่าแรงตั้งแต่ต้น เป่าได้ 20 ห้อง เราได้แค่นี้ เพราะสภาพปากของเราเป่าได้แค่นั้น ซึ่งเหนื่อยมาก พอหมดแรงมีเพียงทางเดียวคือต้องลง กราฟของเพลงอาจจะไม่สวยงามมากนัก เครื่องเป่าต้องตัดสินใจดีๆ แต่ถ้าจุดที่จะให้เราจะแสดง หรือ solo ไม่เยอะมาก ผมว่าแบบนั้นต้องลุย เช่นมีที่ให้เราแสดงหรือโซโล เพียง 12 ห้อง แบบนั้นต้องโชว์เลย อย่างไรก็ตาม การเล่นควรอยู่ในบริบทที่เหมาะสมกับเพลง

การควบคุมวงดนตรีแจ๊ส

สำหรับการควบคุมวง ต้องอาศัยประสบการณ์ค่อนข้างเยอะ ยิ่งทำเยอะเท่าไรยิ่งดี ผมโชคดีตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม ผมมีโอกาสได้ควบคุมวง แม้เป็นวงดนตรีไม่ใหญ่มาก ตอนนั้นมีละครเพลงที่วงดนตรีจะต้องไปเล่น เนื่องจากเป็นวงเล็ก อาจารย์จึงมอบหน้าที่ควบคุมวงให้กับผมเพราะผมทำหน้าที่เล่นเปียโนรู้จักเพลงดีอยู่แล้ว ผมก็เริ่มจากวงเล็ก ซึ่งความจริงไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ขึ้นตรงไหน หรือจบตรงไหน แค่นั้น หลังจากนั้น ที่โบสถ์ต้องการเพลงคริสต์มาสซึ่งมีผมเรียนดนตรีเพียงคนเดียว เขาบอกให้ผมช่วยทำนักร้องประสานเสียงให้ ผมเริ่มจากตรงนั้น เมื่อเรียนปริญญาโท ผมเรียนคอนดักติ้ง (Conducting) อย่างจริงจริง พอเรียนปริญญาเอก ผมได้ควบคุมวงใหญ่ ตลอดระยะเวลา ผมค่อยๆ พัฒนาขึ้น เริ่มเข้าใจพื้นฐานการควบคุมวงดนตรีว่าต้องทำอย่างไร ท่าทางชัดเจนไหม อาจารย์ที่สอนจะบอกว่า วงดนตรีต้องการความชัดเจน ต้องเข้าตรงไหน หยุดตรงไหน วลีเพลงควรจะดังขึ้นหรือเบาลง

ส่วนการคุมนักร้องประสานเสียงเป็นการควบคุมอีกแบบหนึ่ง ต้องควบคุมแทบทุกคำ ทำให้ผมละเอียดมากขึ้น ต้องทำท่าทางเยอะหน่อย สิ่งที่นักร้องประสานเสียงและวงดนตรีต้องการคือ เขาต้องการความชัดเจนในการแสดง การตีความ เขาอยากรู้ว่า เขาต้องทำอะไร ยังไง เราต้องทำการบ้าน คือในโน้ตเพลงมีอะไรหลายอย่างที่ไม่ชัดเจน โน้ตสั้น แต่สั้นขนาดไหน? ยาว ยาวขนาดไหน? ช้า ช้ามาก หรือ ช้าปานกลาง แล้วยิ่งถ้าเป็นโน้ตดนตรีแจ๊ส ยิ่งต้องดูอย่างละเอียด การเล่นดนตรี เราควรต้องทำการบ้านมาก่อน โดยเฉพาะมือกลอง โน้ตไม่ละเอียดเลย เพลงสไตล์ไหน กลองต้องตีแบบไหน โน้ตกลองบางอัน มีแต่ แสลส (/) ไม่บอกข้อมูลอะไรเลย มือกลองต้องทำการบ้าน ต้องฟังเยอะมาก ต้องมีสติ ดูแต่โน้ตเพียงอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องฟังเครื่องบราส เครื่องเป่า (brass instrument) กำลังทำอะไรอยู่ ทรอมโบน แซ็กโซโฟน กำลังทำอะไร มันเป็นเรื่องยากสำหรับมือกลองเพราะเครื่องดนตรีของเขาเป็นเครื่องที่ดัง แล้วยังต้องดูโน้ต ต้องฟังเครื่องดนตรีอื่นอีก การเป็นมือกลองในวงดนตรีแจ๊สต้องเตรียมตัวหนักมาก ต้องศึกษาโน้ตและฟังเพลงมาก่อน

อีกอย่างคือ เวลาในการซ้อมมีจำกัด คือ ถ้าเรานัด 4 โมงเย็น (PM) เราจะเล่น 4 โมงเย็น (PM) ต้องตรงเวลา ฉะนั้น ต้องมาก่อน ถ้าบอกว่าเลิกซ้อมดนตรี 6 โมงเย็นก็จะเลิก 6 โมงเย็นจริงๆ คนควบคุมวงดนตรีต้องวางแผนให้ดี เพราะเราไม่สามารถคาดคะเนได้ อาจเกิดปัญหาหลายอย่าง ต้องมีเวลาให้วงพักด้วย ต้องวางแผนการเล่นดนตรี มีวอร์มอัพในตอนต้น เมื่อวงคุ้นเคยกันมากขึ้น ก็จะเริ่มฟังมากขึ้น ฟังเซกชั่นลีดเดอร์  (Section Leader) ฟังทรัมเป็ต ฟังแซกโซโฟน แต่ถ้าเป็นวงนักศึกษา พอจบปีก็เปลี่ยนคน เราเทรนด์เขามา 4 ปี เราต้องเริ่มใหม่ แต่มันก็ดีเพราะทำให้เรากระตือรือร้นตลอดเวลา ซึ่งบางครั้ง มือทรัมเป็ตในวงดนตรีซึ่งเป็นนักศึกษาเรียนจบปริญญาตรีพร้อมกัน 3-4 คน แย่เลย

ยุคบุกเบิกเทศกาลดนตรีแจ๊ส

เป็นความโชคดีที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นโคโลราโดมีการจัดเทศกาลดนตรีใหญ่ เป็นการจัดเทศกาลดนตรีที่เน้นการศึกษาเป็นเวลา 3 วัน ในช่วงกลางของเทศกาลจะมีมาสเตอร์คลาส (Master Class) มีเวิร์กช๊อป (Workshop) เต็มไปหมดเลย มีหลายตึก วงเล็ก วงใหญ่ มีหลายระดับ (Lavel) ตั้งแต่เด็กระดับเบื้องต้นถึงระดับสูง ทุกเย็นจะมีคอนเสิร์ต โดยมีวงดนตรีนักศึกษาเล่นเปิดให้ก่อน แล้วจะเป็นวงอาชีพ (Professional) หลังจบเทศกาลดนตรีเราจะเตรียมตัวสำหรับงานเทศกาลดนตรีของปีต่อไป มีการวางแผนเตรียมการล่วงหน้าเป็นปี มีการจองศิลปินที่มีเชื่อเสียง มีการวางแผนว่าในแต่ละเดือนต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งไม่มีอะไรยากเพราะเรามีรูปแบบอยู่แล้วว่า เราต้องทำอะไรตอนไหน อย่างไร ก่อนจะเริ่มเทศกาลดนตรีเราจะมีการเปิดรับสมัครวงดนตรีนักเรียนนักศึกษา จะมีเด็กประถมถึงมหาวิทยาลัย เพื่อเขาจะได้แสดงดนตรีและย้ายไปอีกห้องหนึ่งเพื่อรับคอมเม้นท์จากกรรมการ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที นั่นเป็นการทำงานเพื่อการศึกษา ไม่ใช่การแข่งขัน

เมื่อปิดรับสมัครเราจะคัดแยกวง ซึ่งเป็นการให้เกรดวงดนตรีเพื่อกำหนดว่าวงดนตรีต้องอยู่ตรงไหน รวมถึงขนาดวงดนตรีควรอยู่ตึกไหน ห้องไหน มีอาจารย์รับผิดชอบการเงิน อีกส่วนที่เขาดูแล เมื่อใกล้เทศกาลต้องติดต่อกรรมการ เราต้องติดต่อกรรมการเยอะมากเพราะมีอยู่หลายห้อง เขาให้เราติดต่อ ใช้ศิษย์เก่าเข้ามาช่วยด้วย ต้องติดต่อโรงแรม ต้องมีคนดูแลศิลปิน ก่อนวันงานก็จะต้องทำงานหนัก ทำงานให้เสร็จ บางคนต้องถ่ายวีดีโอ บางคนต้องดูแลกรรมการ บางคนต้องดูแลวงนักเรียน ซึ่งมีหลายหน้าที่ นับเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้ผมรู้ว่า การจัดการเรื่องเหล่านี้มันไม่ง่ายเลย

เมื่อกลับเมืองไทย เราจัดงานดนตรีเล็กๆ แล้วค่อยๆ โตขึ้น เป็นเรื่องที่ดีมากที่งานค่อยๆ โต เพราะช่วงแรกๆ ผมยังขาดประสบการณ์ในการจัดการ เรามีเจ้าหน้าที่เพียง 2 คน อาจารย์ไม่ถึง 10 คน แต่ทุกคนช่วยงานกันอย่างเต็มที่ ประสบการณ์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นโคโลราโด ช่วยทำให้เรามีทักษะด้านการบริหารจัดการ แต่หลายสิ่งหลายอย่างต้องเรียนรู้ใหม่ โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านการทำงานในเมืองไทยเป็นอีกแบบ ชาวต่างชาติอาจจะไม่เข้าใจ ผมไม่ได้บอกว่าอะไรดีหรือไม่ดี เพียงแค่เราบอกว่า มันเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ฝึกคีย์บอร์ดสู่วิถีศิลปินเปียโนแจ๊ส

ผมเริ่มเรียนอิเล็กโทนที่สยามกลการ มือซ้ายเล่นคอร์ด มือขวาเมโลดี้ เท้าเล่นเบส สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเปียโนแจ๊สได้ไม่ยาก ผมว่าเป็นทักษะที่ดีที่ได้จากอิเล็กโทน อาจารย์จะชอบเอาเพลงฟิวชั่นของญี่ปุ่นให้เล่น ผมชอบมาก เล่นไปโดยไม่ค่อยรู้ว่ามันคืออะไรในตอนนั้น หลังจากนั้น ตอนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นั่นมีเพียงเปียโน ผมออดิชั่นเข้าวงแจ๊ส เล่นเปียโนตั้งแต่ตอนนั้น ผมทำงานโปรเจ็กซ์เฉพาะให้กับแกรมมี่ ตอนผมได้เจอกับพี่อู๋ แมคอินทอช (อรรถพล ประเสริฐยิ่ง) พี่อู๋ชวนผมทำเพลงบรรเลง บอกว่า “เด่น เอาเพลงแกรมมี่ทำเป็นเพลงแจ๊ส อยากทำอะไรทำเลย” ผมก็ถามว่า จริงเหรอพี่! คิดกันอยู่นานว่าจะเป็นคอนเซ็ปอะไร ในที่สุดก็ได้เพลง อัศนี-วสันต์ มาทำเป็นเพลงบรรเลง หลังจากนั้นผมก็ได้รับรางวัล คมชัดลึกอะวอร์ด สาขาเพลงบรรเลงยอดเยี่ยม

ช่วงนั้น  แกรมมี่ซื้อลิขสิทธิ์ของ วอเนอร์ แชปเบอร์ (Warner Chappell) มีบทเพลงแจ๊สสแตนดาร์ดเยอะพอสมควรในการทำเพลง พี่อู๋ ให้คุยกับพี่อ้อม ชุมพล ศุปัญโญ ให้เลือกเพลงมาทำ ทำชุดสแตนดาร์ด และเรียบเรียงให้กับเครื่องดนตรีอื่นๆ บ้าง ซึ่งเป็นโปรเจ๊กซ์ใหญ่ นอกจากนั้น ก็จะมีโปรเจ๊กซ์ เล็ก ๆ เช่นงานเรียนเรียง เล่นเปียโน หลังจากนั้น มีคนเสนอชื่อผมได้รับรางวัลศิลปาธร พี่จิ จิรพรรณ อังศวานนท์ เป็นคนขอผลงานและเสนอชื่อ ผมส่งงาน อัศนี-วสันต์ และมีบทเพลงที่เขียนให้กับวงใหญ่ ออเคสตรา บิ๊กแบนด์ ส่วนใหญ่เป็นงานสร้างสรรค์ ผมคิดว่าคนทำงานศิลปะ ส่วนใหญ่ไม่ได้หวังรางวัล แต่เมื่อมีคนเห็นคุณค่าผลงาน เราก็ดีใจ เป็นแรงผลักดันให้เราทำงานต่อไป 

เปรียบเทียบดนตรีกับอาหาร

ถามว่าอะไรอร่อยกว่ากัน เราไม่สามารถตอบได้ คือวันนี้เราอยากกินแฮมเบอร์เกอร์ อีกวันเรากินกระเพราไก่ก็อร่อย จะบอกว่าอะไรดีกว่ากัน เราก็บอกไม่ได้ แต่จะให้เรากินแฮมเบอร์เกอร์ทุกวันก็ไม่ได้ กินกระเพราไก่ทุกวันก็ไม่ได้ ในเชิงศิลปะ เราสนใจที่จะเสพงานใหม่ ดนตรีมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมพอสมควร มันน่าสนใจดีที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นเป็นดนตรี ป๊อป คลาสสิก แจ๊ส มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา ผมว่าตรงจุดนี้น่าสนใจ เราจะนึกถึงอาจารย์บรูซ แกสตัน (Bruce Gaston) เป็นหนุ่มอเมริกันมาอยู่เมืองไทย สนใจดนตรีไทย กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยมากที่สุดคนหนึ่ง อาจารย์ซึมซับดนตรีไทยแต่ก็ไม่ได้ทิ้งตัวตนความเป็นอเมริกัน เป็นนักแต่งเพลง นักเปียโน พยายามผสมผสานอะไรต่างๆ เป็นเรื่องสนุกมากที่เห็นอะไรแบบนี้

สมัยก่อน เราจะนึกถึงชาวโปรตุเกสเข้ามาประเทศไทย มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทั้งเรื่องอาหาร ศาสนา ฯลฯ ดนตรีก็เช่นกัน เราแต่งเพลงโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนบ้านของเรา เพลงลาวดวงเดือน เพลงพม่ารำขวาน เขมรไทรโยก นักแต่งเพลงคลาสสิก เช่น โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) เป็นชาวเยอรมันก็แต่งเพลงอิตาเลี่ยนคอนแชร์โต เรายืมวัฒนธรรมกัน อย่างบาค สนใจผลงานของ อันโตนีโอ ลูซีโอ วีวัลดี (Antonio Lucio Vivaldi) เรียบเรียงเพลงของวีวัลดีหลายบท การเห็นศิลปินแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันเป็นเรื่องที่สนุกมาก ในกรณีของดนตรีไทยก็เหมือนกัน เราชอบทำแบบนี้ มันมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกเยอะ ศิลปะหยุดนิ่งไม่ได้

สำหรับงานดนตรีทดลอง อาจสามารถเปรียบเทียบคล้ายๆ งานศิลปะนามธรรม (Abstract) ซึ่งเปิดพื้นที่ให้เราตีความได้เยอะ ทั้งดนตรีดั้งเดิม และดนตรีทดลอง มีความดีงามความสวยงามของตนเอง ดนตรีเป็นงานศิลปะที่ชอบทดลองมาตั้งแต่ต้นแล้ว แจ๊สถือว่าเป็นงานทดลองเช่นกัน เป็นการทดลองเอา อเมริกัน แอฟริกัน มิวสิค บลูส์ โยธวาทิด มาผสมผสานกัน ยุคสมัยนี้ มีการทดลองเรื่องดนตรีเยอะมาก  มีดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถเล่นกับเสียง ที่ฟังดูแล้วอาจไม่รู้ว่าเป็นคอร์ดอะไร มีงานที่ไปไกล และงานที่ยังอิงแบบแผนดั้งเดิม มันมีที่ของมันอยู่ อาจจะไม่ได้รับความนิยมกว้างขวางนัก แต่ก็เป็นงานที่น่าสนใจและน่าศึกษา

สมัยก่อนเราฟังดนตรีอย่างผิวเผิน ไพเราะดี สนุกดี ฟังตามที่มีอยู่ในสมัยนั้น การฟังในยุคแรก ไม่ได้ฟังละเอียด ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน จะตั้งใจฟังจริงๆ คือตอนที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไทย – สหรัฐอเมริกา อาจารย์ให้ฟังเพลง แกะเพลง ต้องตั้งใจฟังจริงๆ เราต้องแกะให้เหมือน เล่นให้เหมือน ตอนนั้นไม่ได้เรียนรู้เรื่องทฤษฎีดนตรีอะไร ใช้วิธีจดจำ เดา โน้ตนี้ เป็นคอร์ดนี้ เมื่อเรียนดนตรี เรียนการเรียบเรียงเสียงประสาน เอียเทรนนิ่ง ทำให้เราต้องฟังเพลงละเอียดขึ้น แต่ทำให้เราฟังอย่างละเอียดมากขึ้น

ตอนเรียนปริญญาตรี อาจารย์ให้แกะเพลง เพลงเริ่มยาก เริ่มซับซ้อน แต่ฝึกฝนให้หูเราดีขึ้น เมื่อทำบ่อย ก็ทำเร็วขึ้นเอง ตอนแรกที่แกะเพลงก็จำเอา แต่พอเขียนโน้ตเป็นก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ถ้าฟังเพลงเดียวกัน ตอนนี้กับตอนเด็ก ความรู้สึกคงไม่เหมือนกัน เหมือนตอนเด็กเราฟังเพลง จอห์น โคลเทรน ฟังแล้วก็รู้ว่ามันเจ๋งดี แต่ก็รู้แค่่นั้น พอโตขึ้น ฟังใหม่ก็ทำให้รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นเยอะเลย ผมว่าแม้กระทั่งคนที่ไม่ใช่นักดนตรี เวลาฟังเพลงตอนเด็กแล้วมาฟังใหม่ตอนโต เราจะได้ยินอะไรที่แตกต่างกันออกไป

การเขียนสู่การเป็นนักวิเคราะห์ดนตรี

สำหรับวารสารดนตรีรังสิต ศ.ดร.วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น ท่านชวนทำวารสารตั้งแต่ยุคแรกที่วิทยาลัยดนตรี ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นการจัดความสมดุลระหว่างกิจกรรมการแสดงดนตรีและงานวิชาการ เราอยากผลักดันให้อาจารย์ของเราได้ทำงานวิชาการ ทำงานเขียนมากขึ้น ปัจจุบันวารสารดนตรีรังสิตอยู่ในฐาน TCI 1 นักดนตรีทั่วไปไม่ชอบเขียนหนังสือ ช่วงแรกที่ผมเริ่มเขียน ไม่ได้เขียนงานวิชาการ พี่ที่ทำงานนิตยสารชวนให้เราเขียนบทความสั้นๆ สนุกดี แต่เมื่อต้องเขียนงานวิชาการ มันมีระบบระเบียบซึ่งเราต้องทำตาม จึงค่อยๆ พัฒนา ในช่วงแรกไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่ผมชอบอ่านหนังสือ ชอบซื้อหนังสือ แต่บางเล่มซื้อมาก็ไม่ได้อ่านเป็นปีก็มี ศ.ดร.ณัชชา พันธ์ุเจริญ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักวิชาการดนตรีอีกหลายคน ตำราเป็นสิ่งที่จะต้องทำ เพื่อจะส่งต่อความรู้ให้กับคนรุ่นต่อไป คีย์เวิร์ดคือ “การส่งต่อ” ในที่สุดแล้วยุคเราก็จะหมดไป หน้าที่ของเราคือการส่งต่อ

การเรียนดนตรีเป็นงานหนัก เราจะต้องซ้อมดนตรี แต่งเพลง ต้องอ่านหนังสือ เข้าห้องสมุด เขียนงานส่งอาจารย์ พอจบแล้วทำงานเป็นนักดนตรี เป็นศิลปิน การเป็นนักดนตรีหรือศิลปินไม่ง่ายเลย ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง จะประสบความสำเร็จสายศิลปินต้องขยันอย่างมาก และต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วยอีก สำหรับผม ตอนจบปริญญาตรี อยากเป็นนักดนตรี แต่เมื่อได้สอนดนตรี ได้สอนในมหาวิทยาลัย ก็เริ่มนึกถึงตอนเรียน ตอนนั้นเราเคยคิดจะเป็นอาจารย์จึงเริ่มคิดถึงการเรียนต่อ เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไร มันจะเป็นแรงผลักดันอยู่ข้างในว่า เราต้องทำให้ได้ เราจะขวนขวายเพื่อจะทำให้ถึงเป้าหมาย มันจะต้องอาศัยความอดทนพอสมควร ถ้าเป้าหมายตอนเรียนจบเราชัด เราจะพยายาม ไม่ท้อง่ายๆ ซึ่งมันไม่มีสูตรสำเร็จ

บางคนตั้งใจทำอย่างหนึ่งแต่ประสบความสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง ผมมีเพื่อนที่หยุดเรียนปริญญาเอกสองคน ปัจจุบันทั้งสองประสบความสำเร็จในทางของเขา คนแรกทำงานเป็นมือเบสมีทัวส์คอนเสิร์ตรอบโลก มีงานเยอะมาก อีกคนทำงานเป็นอาจารย์สอนดนตรีโรงเรียนอินเตอร์ในหลายประเทศ พวกเขาประสบความสำเร็จในชีวิต ช่วงที่ผมเรียนปริญญาตรี เพื่อนของผมคนหนึ่งทำงานเป็นมือกลองบนเรือสำราญ เล่นดนตรีบนเรือสำราญช่วงฤดูร้อน กลับมาเรียนได้ไม่นาน มีคนโทรมาชวนให้เป็นหัวหน้าวงดนตรีบนเรือสำราญ เขาตัดสินใจทิ้งการเรียนแต่ก็ประสบความสำเร็จอีกแบบหนึ่ง โอกาสของแต่ละคนต่างกัน แต่การมีเป้าหมายที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง ช่วยทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้ง่าย แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงด้วย


Spread the love

admin

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x